ตัวเคลื่อนไหว

JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

7 เมนู ที่ควรหลีกเลี่ยงยามท้องว่าง

เอาใจคนรักสุขภาพด้วยบทความนี้เลยจ้าพี่นัทสรรหามาให้อ่านกันอีกเช่นเคย...


เมื่อคนมันหิว อะไรใกล้มือก็มักจะคว้าเข้าปากกันไปก่อน ใครมีนิสัยอย่างนี้ขอให้ ลองปรับตัวเสียใหม่เพราะอาหารบางอย่างอาจเป็นเมนูที่ไม่ ค่อยเหมาะกับร่างกายในยามนั้นได้ “7 เมนู ที่ควรหลีกเลี่ยงยามท้องว่าง”


1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง
4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียม และแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพอย่างมาก
6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ

"แตงโม"แช่เย็นคุณค่าทางอาหารลดลง


คณะนักวิจัยที่ห้องวิจัยปฏิบัติการทางการเกษตรในเมืองเลน รัฐโอคลาโฮมา ของกระทรวงเกษตรสหรัฐเผยในวารสารการเกษตรและเคมีอาหารว่า แตงโมเก็บที่อุณหภูมิห้องมีสารอาหารมากกว่าแตงโมแช่เย็นหรือแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้น พวกเขาศึกษาจากแตงโมที่เก็บไว้เป็นเวลา 14 วัน ณ อุณหภูมิที่แตกต่างกัน ได้แก่ 21 องศาเซลเซียส 13 องศาเซลเซียส และ 5 องศาเซลเซียส


พบว่าแตงโมที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิห้องในอาคารติดเครื่องปรับอากาศมีสารอาหารมากที่สุดนอกจากนี้ยังมีไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนมากกว่าแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้นประมาณร้อยละ 40 และร้อยละ 50 - 139 ตามลำดับ

ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผักผลไม้มีสีแดง คาดว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้บางชนิด ส่วนเบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ งานวิจัยนี้ชี้ว่า แตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้วกระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น ปกติแล้วแตงโมจะมีอายุในการวางจำหน่ายประมาณ 14 - 21 วัน ณ อุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียสหลังการเก็บเกี่ยว

สบู่เหลว...อันตราย!!

ใช้สบู่เหลว อันตราย!


ฮือฮาน่าตกใจ สบู่เหลวที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ เป็นแค่สารซักฟอกที่ใช้ในการผลิตน้ำยาล้างจาน ทำความสะอาดพื้น แถมถ้าใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีนจะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด!!!
วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติได้ตีพิมพ์บทความบทหนึ่ง เผยถึง เรื่องใกล้ตัวที่คนทั่วไปให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีใจความระบุว่า เดี๋ยวนี้สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆ จะ ต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่สารซักฟอกหรือดีเทอเจน ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่น แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว


ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลวคงจะไม่เกิดขึ้นฉับพลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือโซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ (ลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) ซึ่งเป็นสารเคมีอันตราย ทั้งนี้ หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฎหมายห้ามใช้แล้ว และบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆ ที่เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้อย่างง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ว่าจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว (ซึ่งจริงๆ แล้วคือสารเคมีล้วนๆ) แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า (ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือจางกว่าเท่านั้น) แต่ถ้าจะให้ดีกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า

ท้องฟ้าเป็นสีฟ้านั้นเกิดจากการกระเจิงแสงของโมเลกุลในชั้นบรรยากาศของโลก โดยเมื่อแสงขาวจากแสงแดดผ่านเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกจะกระทบกับโมเลกุลแก๊ส และเกิดการกระเจิงแสงของโมเลกุล

เมื่อลำแสงจากดวงอาทิตย์ ผ่านบรรยากาศเข้ามาตรงศีรษะ หรือเกือบตรงศีรษะ แสงที่เดิมทีเป็นสีขาวก็แยกตัวออกด้วยการกระเจิงกลายเป็นมีสีฟ้ามากกว่าสีอื่นๆ เพราะโมเลกุลของก๊าซในบรรยากาศของเราจะกระเจิงแสงสีฟ้าได้ดีกว่า โดยเฉพาะโมเลกุลของก๊าซอ๊อกซิเจน และไนโตรเจน จะกระเจิงแสงสีฟ้าได้ดีกว่าสีแดงที่มีความยาวคลื่นมากกว่าสีฟ้า แสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าจะกระเจิง (Scattering) ได้ดีในชั้นบรรยากาศ

สียิ่งมีความยาวคลื่นสั้นก็ยิ่งจะกระเจิงแสงได้ดี และแสงสีฟ้านี่เองกระเจิงได้มากถึง 10 เท่าของสีแดง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท้องจึงเป็นสีฟ้า

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแสงสีม่วงจะกระเจิงได้ดีกว่าแสงสีฟ้าถึง 16 เท่า แต่เรตินาของคนเรา มีประสาทรับแสงที่ไวต่อแสงสีฟ้ามากกว่าสีม่วง ทำให้เรามองไม่ค่อยเห็นส่วนที่เป็นสีม่วง แต่จะเห็นสีฟ้ามากกว่าในเวลากลางวัน

ถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยด้วยว่า แล้วในเวลาเย็นท้องฟ้าถึงเปลี่ยนสีกลายเป็นสีส้มๆ แดงๆ

นั่นเป็นเพราะในเวลาเย็นหรือเช้า แสงจะเข้ามาเฉียงๆ เป็นมุมทแยงกับพื้นโลก และต้องผ่านบรรยากาศหนาขึ้นมากกว่าเวลาที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะ และกว่าจะเดินทางถึงตาเรา แสงสีฟ้าส่วนใหญ่จะกระเจิงออกไปหมด ส่วนหนึ่งจะหายไปในอวกาศ ทำให้แสงที่เหลือ ซึ่งเป็นพวกสีส้มสีแดงมีอิทธิพลมากขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อเวลาเย็นลง ท้องฟ้าก็จะเริ่มเปลี่ยนสีไปทางสีส้มมากขึ้น

โอว...ว้าว เห็นปรากฏการณ์ในธรรมชาติอย่างนี้ ผู้อ่านที่รักจะรู้สึกทึ่งเหมือนกับถามตอบรอบโลกบ้างไหมกับความน่าอัศจรรย์ของโลก?

ชาติแรกในเอเชียที่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก

ชาติแรกในเอเชียที่ได้เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย คือ Dutch East Indies ส่วนจะเป็นประเทศอะไรในปัจจุบันนั้น ถามตอบรอบโลกต้องย้อนเวลาไปเท้าความจากเรื่องราวในหลายศตวรรษก่อนมาเฉลย

ดัตช์ อีสต์ อินดีส์ หรือ "อาณานิคมอินเดียตะวันออกของดัตช์" คือ หมู่เกาะน้อยใหญ่นับหมื่นๆ เกาะที่รวมตัวกันเป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน

ในอดีต หมู่เกาะต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน ยังไม่มีการรวมตัวกันเป็นรัฐเดียว แต่ได้แยกกันเป็นแคว้นต่างๆ หลายแคว้น โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอินเดีย ทั้งด้านการค้าและวัฒนธรรม ทำให้ได้รับอิทธิพลทางด้านความเชื่อของฮินดูและพุทธ จนกระทั่งอิทธิพลของศาสนาอิสลามได้เข้ามาแทนที่ในศตวรรษที่ 13

ในศตวรรษที่ 15 อินโดนีเซียเริ่มเป็นที่สนใจของชาวยุโรปเนื่องจากเป็นแหล่งเครื่องเทศ ชาวโปรตุเกสและสเปนได้เริ่มเข้ามาในภูมิภาคนี้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 และโปรตุเกสได้ยึดครองติมอร์ตะวันออกเป็นอาณานิคม ก่อนที่ดินแดนนี้จะตกเป็นอาณานิคมของชาวดัตช์ ผ่านการจัดตั้งบริษัท ดัตช์ อีส อินเดีย หรือ Vereniging Oost Indische Compagnie ในปี 1602 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าปกครองอินโดนีเซียในฐานะอาณานิคม ก่อนที่ชาวอินโดนีเซียจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเรียกร้องขอเอกราชได้สำเร็จในเดือนธันวาคม 1945

ช่วงที่เป็นอาณานิคมของชาวดัตช์นี้เอง อินโดนีเซีย ภายใต้ชื่อ ดัตช์ อีสต์ อินดีส์ ได้ผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ในปี 1938 แต่การพ่ายแพ้ต่อ ฮังการี 0-6 ในการแข่งขันเมืองแรงส์ ประเทศฝรั่งเศส ทำให้อินโดนีเซียตกรอบไป

จากนั้นในปี 1958 อินโดนีเซียที่เคยผ่านประสบการณ์ฟุตบอลโลกครั้งแรกมาแล้ว ก็ผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกอีกครั้ง แม้จะผ่านจีนได้ในรอบแรก แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ไปโชว์ฝีเท้าในรอบสุดท้ายที่สวีเดน เพราะขอถอนตัวออกจากการแข่งขันในนัดที่จะต้องเจอกับอิสราเอล

เคล็ดลับการถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์


เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า


4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)


5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป


6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ทราบเคล็ดลับกันไปแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันนะจ๊ะ เพื่อสุขภาพตาที่ดีของน้องๆ ผู้รักการเล่นคอมเป็นชีวิตจิตใจจ้า พี่นัทว่าดวงตาของเราเป็นหน้าต่างของหัวใจ อย่าลืมถนอมมันให้ใช้ได้นานๆ นะจ๊ะน้องๆ

น้ำแอปเปิ้ลเบรกโรคร้าย

โรคร้ายอย่างมะเร็งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ปัจจัยในการรับประทานอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ เช่นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มันมากๆ หรืออาหารที่ไหม้เกรียม และวันนี้น้ำแอปเปิ้ลก็อาจสามารถช่วยต่อสู้ได้อีกแรง ตามพี่มิ้งค์ไปอ่านกันเลยครับ

นักวิจัยสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา เปิดเผยว่า หนูเป็นมะเร็งที่เลี้ยงด้วยน้ำแอปเปิ้ลสกัด แสดงให้เห็นว่า มันสามารถจะถ่วงมะเร็งเนื้อร้ายจากเนื้อเยื่อต่อมไม่ให้เติบโตอีกต่อไปได้ และยิ่งให้หนูกินมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้มะเร็งชะงักหยุดได้เท่านั้น
ศาสตราจารย์ริว ไอลิง หัวหน้านักวิจัยเล่าว่า ไม่แต่เพียงสังเกตว่าหนูมีเนื้อร้ายน้อยลงเท่านั้น หากเนื้อร้ายยังหดเล็กลง คลายพิษของเนื้อร้ายลง และเติบโตได้ช้าลง เมื่อเทียบกับหนูตัวอื่นที่ไม่มี การรักษา ยิ่งหนูตัวที่เลี้ยงด้วยน้ำแอปเปิ้ลสกัดมากถึงวันละ 6 ลูก เนื้อร้ายจะแพร่กระจายเหลือเพียงร้อยละ 23 เท่านั้น



นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ทั้งนี้เป็นอิทธิพลของพวกสารพฤกษเคมี เช่น ฟลาโวนอยด์หรือฟีโนลิก ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระและการแพร่กระจายภายในเซลล์ของร่างกาย

White day ฉันก็รักเธอ


ผ่านพ้นวาเลนไทน์มาแล้ว หลายๆ คนก็สมหวังในความรัก บางคนก็กำลังลุ้นรัก ส่วนคนที่พลาดหวังไป ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ ก็แค่อีกรสชาติชีวิตเท่านั้นเอง เรายังต้องเจอคนอีกมากมายกับเรื่องราวอีกเป็นร้อยเป็นพัน เอ้า...เรียนรู้กันไป ^^ เอาล่ะมาเข้าเรื่องก่อนที่จะเลยเถิดไปไกล วันนี้พี่จูนมีเรื่องราวของเทศกาลความรักของชาวญี่ปุ่นมาฝากกันค่ะ นั่นคือ "วันไวท์เดย์" ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคมของทุกปี (ครบรอบ 1 เดือนนับจากวันวาเลนไทน์พอดี)


วันไวท์เดย์นี้เป็นวันแห่งความรักอีกหนึ่งวันของชาวญี่ปุ่นเค้าค่ะ ที่มาของวันนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องตลกเนื่องมาจากว่า บริษัทมัชเมลโล่ของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งมีความคิด (ส่งเสริมการขาย) ว่า วันวาเลนไทน์เป็นวันที่ฝ่ายหญิงจะให้ของขวัญแก่ฝ่ายชายเท่านั้น (ธรรมเนียมปฏิบัติของวาเลนไทน์ในญี่ปุ่น) แล้วฝ่ายชายล่ะ? จะให้ของขวัญตอบแทนฝ่ายหญิงได้เมื่อไร? บริษัทมัชเมลโล่แห่งนี้จึงได้คิดกำหนดวันไวท์เดย์ขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 2523 (พี่จูนยังไม่เกิดเลยล่ะ) โดยไอเดียเริ่มแรกของวันไวท์เดย์คือ เมื่อสาวใดมอบช็อกโกแลตให้แก่ฝ่ายชายในวันวาเลนไทน์แล้ว และฝ่ายชายเองก็มีใจให้แก่ฝ่ายหญิง ก็จะต้องมอบขนมมัชเมลโล่สีขาวให้เป็นของขวัญตอบแทนความรู้สึกค่ะ


ที่จริงแล้วไวท์เดย์ก็เป็นแค่แผนการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายของบริษัทมัชเมลโล่อย่างที่พี่จูนบอกไปนะคะ แต่แนวคิดนี้กลับได้รับการยอมรับจากชาวญี่ปุ่นอย่างมากจนกระทั่งในปัจจุบันทีเดียว โดยหลังจากที่ฝ่ายชายได้รับของขวัญจากฝ่ายหญิงแล้ว ก็จะรอจนครบหนึ่งเดือนเพื่อมอบของขวัญตอบแทนให้ในวันไวท์เดย์นี้เองค่ะ ^^ น่ารักเนอะ! ทั้งนี้ ของขวัญที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงนั้นมีมากมายนะคะ ตั้งแต่ขนมหวานต่างๆ ไปจนถึงสิ่งของเครื่องใช้ โดยอาจเป็นเครื่องประดับ น้ำหอม เป็นต้น ซึ่งถือเป็นของมีราคา นอกจากนี้ก็จะมีของขวัญบางอย่างที่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อสาวๆ ได้รับของขวัญจากหนุ่มๆ ในวันไวท์เดย์แล้ว ก็อย่าเพิ่งดีใจไป รีบแกะดูของข้างในเสียก่อนว่าเป็นอะไร 55+ เพราะอาจเป็นคำปฏิเสธที่ถูกส่งมาในรูปของของขวัญปลอบใจก็ได้
ตัวอย่าง ความหมายของของขวัญในวันไวท์เดย์ * ผ้าเช็ดหน้า >> ฉันไม่ได้รักเธอหรอกนะ เก็บผ้าเช็ดหน้านี้ไว้ซับน้ำตาตัวเองละกัน (T^T ถึงกับเศร้า) * คุกกี้ >> เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะนะ * ขนมหวาน หรือทอฟฟี่ >> ฉันมีคนรักแล้วล่ะ (T^T เศร้าได้อีก) * มัชเมลโล่ >> ฉันรักเธอ วิฮิ้วววว~

บรรยากาศของความรักยังอบอวลมิคลาย อิอิ ส่งท้ายให้สาวๆ ดีใจอีกนิดถ้าหากจะแอบนำธรรมเนียมปฏิบัติของชาวญี่ปุ่นมาใช้ เพราะเมื่อถึงวันไวท์เดย์ หนุ่มๆ จะต้องหาของขวัญที่ควรมีราคามากกว่าของที่สาวๆ ให้มาเมื่อวันวาเลนไทน์ถึง 3 เท่า (3 เท่า 3 เท่า 3 เท่า กรี๊ดดด) ซึ่งธรรมเนียมนี้ถือปฏิบัติกันไปตามยุคสมัย ไม่ได้บังคับแต่อย่างใดจ้ะ
ถึงแม้ว่าบรรยากาศวันแห่งความรักในบ้านเราจะไม่คึกคักเท่าที่ประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่เราก็มักแสดงความรักต่อกันในทุกๆ วันอยู่แล้วเนอะ วันละเล็กวันละน้อยนี่แหละ ที่ความรักจะค่อยๆ สะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ใครที่มีความรักที่ดีอยู่แล้ว ก็ขอให้รักกันไปนานๆ นะคะ ส่วนใครที่ยังไม่มี ไม่ต้องใจร้อนออกตามหาค่ะ ถึงเวลาเชื่อเถอะว่า ความรักจะวิ่งเข้ามาชนหัวใจเราเอง ^^

ฮือฮาอีกครั้ง กับ รถยนต์ ถูกที่สุดในโลก!!!


ถ้าเอ่ยถึงรถยนต์ ถ้าเราอยากมีมาไว้ในครอบครองสักคัน แบบถอยมือหนึ่งมาจากโชว์รูมขายรถเลย ก็คงต้องเตรียมเงินไว้ไม่ต่ำกว่าหลักแสน แต่ในวันนี้แค่มีเงินหลักหมื่น ก็ซื้อรถมือหนึ่งเป็นของตนเองได้แล้ว เมื่อ Tata Motors จากประเทศอินเดีย ผลิต รถยนต์รุ่นใหม่ ที่มีราคาถูกที่สุดในโลกเพียงแค่ 7 หมื่น บาท เท่านั้น

Tata Motors สร้างความฮือฮาไปทั่ววงการยานยนต์เมื่อเตรียมเปิดตัว Tata Nano รถยนต์ราคาถูกที่สุดในโลกอยู่ที่ 100,000 รูปี หรือประมาณ 70,000 บาท โดยรุ่นที่เปิดตัวใช้เครื่องยนต์ 2 สูบ ขนาด 623 ซีซี ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังที่ 33 แรงม้า จะเริ่มเปิดขายจริงในเดือนกรกฏาคม 100,000 คัน
โปรเจ็กต์รถยนต์ราคาถูกที่สุดในโลกนี้เริ่มมาตั้งแต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดย Tata Motors เริ่มทดลองผลิตรถบรรทุกราคาถูก Tata Ace ซึ่งมีราคาเพียง 100,000 รูปีและประสบความสำเร็จยอดขายถล่มทลายในอินเดีย หลังจากนั้นจึงเริ่มโปรเจ็ค Tata Nano ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ดี ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าติดตั้งแอร์และสีเคลือบกันชน แต่ถึงอย่างนั้นรุ่นแพงที่สุดก็ยังมีราคาเพียง 200,000 รูปี หรือ 140,000 บาทเท่านั้นเอง
ก่อนหน้านี้ Tata Motors ของอินเดียพึ่งจะซื้อแบรนด์จากัวร์ กับ แลนด์โรเวอร์ จากฟอร์ดไปเมื่อปีที่แล้ว การตัว Tata Nano นี้บริษัทคาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายที่ตกต่ำลงและสร้างแบรนด์ Tata ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ถ้าวิเคราะห์กันให้ดีๆแล้ว พี่ปอว่า เศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เพราะสินค้าที่เคยมีราคาแพง ก็อาจจะปรับลดลงอย่างเหลือเชื่อ เช่นเดียวกับ Tata Motors ที่ทำรถที่ถูกที่สุดในโลกออกมาเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเลยครับ แม้ว่า มันจะถูกแค่ไหน แต่เศรษฐกิจแบบนี้ก็ต้องรัดเข็มขัดไว้ก่อน จริงไหม?
ป.ล. แต่ถ้าน้องๆ คนไหนอยากซื้อเจ้ารถราคาถูกคันนี้ให้พี่ปอ...พี่ปอก็ยินดีรับเป็นอย่างยิ่งเลยน้า แหะๆ

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

เราใช้ "น้ำ" กันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ!!


เวลาอาบน้ำ ล้างมือ แปรงฟัน หรือทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำนั้น เคยคิดกันบ้างไหมจ๊ะว่า เราใช้น้ำไปมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่รู้ล่ะก็ ไม่เป็นไรจ้ะ เพราะวันนี้พี่ปัดได้ไปรวบรวมเรื่องนี้มาฝากแล้วจ้ะ โดย....

การแปรงฟัน ถ้าเราใช้แก้วหรือขันรองน้ำเวลาบ้วนปากจะใช้น้ำเพียง ½ ลิตร!! แต่ถ้าเปิดก็อกน้ำทิ้งไว้ขณะแปรงฟันล่ะก็ จะเสียน้ำไปอย่างเปล่าประโยชน์ 9 ลิตร/นาที

การโกนหนวด หนุ่มๆ ควรที่จะใช้กระดาษทิชชูเช็ดออกก่อนที่จะล้างด้วยน้ำเปล่า และนำที่โกนหนวดมาล้างในแก้วหรือขัน วิธีนี้จะทำให้เสียน้ำไปแค่ ½ ลิตร!! แต่ถ้าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ขณะโกนหนวดจะเสียน้ำไปประมาณ 18 ลิตร/2 นาที

การอาบน้ำ ถ้าอาบแบบฝักบัวจะช่วยทำให้ประหยัดน้ำ เพราะจะเสียน้ำ 20-30 ลิตร!! แต่ถ้าเปิดก๊อกน้ำและถูสบู่ไปด้วยเป็นเวลา 10 นาที จะทำให้เสียน้ำไปประมาณ 90 ลิตร

การใช้ห้องสุขา ควรใช้โถส้วมแบบตักราด เพราะจะประหยัดน้ำมากกว่าแบบชักโครก

การซักผ้า เราควรที่จะแช่น้ำาไว้ก่อนซักผ้า เพื่อที่จะทำให้สิ่งสกปรกซักออกได้ง่ายขึ้น การล้างน้ำสะอาด 2 ครั้ง จะใช้น้ำประมาณ 40 ลิตร!! แต่ถ้าเปิดก๊อกน้ำให้ล้นตลอดเวลาล่ะก็ จะเสียน้ำไปประมาณ 180 ลิตร/20 นาที หากใช้เครื่องซักผ้าจะใช้น้ำประมาณ 150 -250 ลิตร!!

การล้างจาน เราควรจะใช้กระดาษทิชชูเช็คคราบสกปรกออกก่อน และควรที่จะล้างจานในอ่างหรือกาละมัง เพราะถ้าล้างจากก๊อกน้ำโดยตรงจะเสียน้ำไป 9 ลิตร/นาที

การล้างรถ ควรที่จะใช้ไม้ขนไก้ปัดฝุ่นออกเสียก่อน หลังจากนั้นก็นำน้ำใส่ถัง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถู วิธีนี้จะใช้น้ำประมาณ 1-2 ถัง และประหยัดกว่าการใช้สายยางฉีดล้างที่เปลืองน้ำมากกึง 180 ลิตร


"น้ำ" เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์เราทุกคนต้องใช้อยู่ทุกวันไม่ว่าจะกิน ดิ่ม อาบ เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะช่วยประหยัดทรัพยากรน้ำกันด้วยนะจ๊ะ เพราะไม่อย่างงั้นแล้วล่ะก็น้ำอาจจะหมดไปในวันใดวันหนึ่งก็ได้

คุณลุงหน้าร้าน KFC เขาเป็นใครกันหนอ


หุ่นชายแก่ที่เราเห็นเวลาผ่านร้านเคเอฟซีนั้นคือผู้ก่อตั้งเคเอฟซี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เขาชื่อว่า ฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส เกิดวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1890 มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน เป็นลูกชายคนโต เมื่อเขาอายุได้เพียง 6 ขวบบิดาก็เสียชีวิตทำให้ แม่ต้องทำงาน เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว แซนเดอร์สยังเป็นเด็กน้อยอายุ 6 ขวบ ต้องรับภาระเลี้ยงดูน้องชายอายุ 3 ขวบและน้องสาวที่ยังเล็กอยู่ เขาต้องทำงานบ้านทุกอย่าง รวมถึงทำอาหารเองด้วย แซนเดอร์สมีความสามารถในเรื่องนี้มาก จนได้รางวัลชนะเลิศในการประกวดทำอาหารประจำหมู่บ้าน ขณะที่อายุได้เพียง 7 ขวบเท่านั้น แซนเดอร์สเริ่มรับจ้างทำงานครั้งแรก เมื่อมีอายุได้ 10 ปี โดยเริ่มจากการทำงานในฟาร์มใกล้บ้านได้ค่าแรงเพียงเดือนละ 2 ดอลลาร์ และอายุได้ 12 ปี เขาก็ออกจากบ้านไปทำงานที่ฟาร์มในหมู่บ้านเฮนรี วิลล์


ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตการทำงานหลายๆ อย่างที่เขาเคยทำ เช่น เป็นนักดับเพลิง ฝึกงานที่ศาลขายประกัน ขายยาง ทำงานที่สถานีขนส่ง และเมื่ออายุ 47 ปี แซนเดอร์สก็เริ่มทำอาหารจำหน่ายที่สถานีขนส่งในรัฐเคนตั๊กกี้ ปรากฏว่าอาหารที่เขาทำเป็นที่นิยมมาก แซนเดอร์สจึงลาออกไปทำร้านอาหาร หลังจากนั้นอีก 9 ปี เขาได้คิดค้นสูตรการปรุงไก่ทอดด้วยส่วนผสมลับเฉพาะ จากเครื่องเทศ 11 ชนิด และใช้วิธีการทอดไก่แบบพิเศษเพื่อรักษารสชาติและความหอมอร่อยของไก่ทอดไว้ ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดไก่ทอด สูตรต้นตำรับเคเอฟซี แซนเดอร์สสร้างชื่อให้รัฐเคนตั๊กกี้มาก ผู้ว่าการรัฐจึงแต่งตั้งให้เขาเป็น "ผู้พันแซนเดอร์ส" เพื่อเป็นเกียรติ จนถึงวันนี้เคเอฟซีได้ขยายสาขามากกว่า 29,500 แห่งใน 92 ประเทศทั่วโลก ...โดยมีหุ่นจำลองของผู้พันแซนเดอร์สตั้งอยู่หน้าร้าน เหมือนเป็นเครื่องรับประกันถึงความอร่อยของไก่ทอด ตำหรับ



COLONEL SANDERS THE LEGENDARY CHICKEN EXPERT






1890 ตำนานความอร่อยของไก่ทอด KFC เริ่มต้นโดยพันเอกฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์สท่านถือกำเนิดขึ้นในเมืองคอร์บิน มลรัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ในปี 1890



1930 ในช่วงปี 1930 พันเอกฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์สเริ่มปรุงไก่ทอดที่แสนอร่อย ให้แก่นักเดินทางทั่วไปที่มาหยุดพักรับประทานอาหารที่ร้านของท่านในเมือง คอร์บิน มลรัฐเคนตั๊กกี้



1939 ชื่อผู้พันแซนเดอร์สเริ่มเป็นที่รู้จัก ในปี 1939 พันเอกฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์สได้รับเกียรติจากมลรัฐเคนตั๊กกี้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้พันเคนตั๊กกี้ แทนความยินดีจากผู้ว่ามลรัฐ เคนตั๊กกี้ที่ท่านได้สร้างชื่อเสียงให้แก่รัฐ เพราะท่านได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อคิดค้นสูตรไก่ทอดที่แสนอร่อย โดยนำไก่มาคลุกเคล้ากับเครื่องเทศ 11 ชนิด และใช้วิธีพิเศษของการทอดด้วยเตาทอดระบบ ความดัน เพื่อรักษารสชาติ หอมอร่อยของไก่



1950 ด้วยความมั่นใจในรสชาติและคุณภาพของไก่ทอดในปี 1950 ผู้พันเริ่มออกเดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดาด้วยตัวท่านเอง จากร้านหนึ่งไปสู่อีกร้านหนึ่ง เพื่อขายแฟรนไชส์ธุรกิจของท่าน



1955 ในปี 1955 ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ได้ก่อตัวขึ้นในรูปบริษัทเป็นครั้งแรก โดยผู้ก่อตั้งคือผู้พันแซนเดอร์ส



1964 มาในปี 1964 ผู้พันแซนเดอร์สได้ขายกิจการไก่ทอดเคนตั๊กกี้ให้แก่กลุ่มนักลงทุนมืออาชีพที่มี Jack Massey และ John Y. Brown Jr.เป็นแกนนำ



1978 เพื่อรักษาไก่ทอดเคนตั๊กกี้ให้คงคุณภาพและรสชาติแบบดั้งเดิม จึงมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งชาติของ KFC ขึ้นในปี 1978 โดยมีผู้พันแซนเดอร์สเป็นผู้ตรวจสอบการรักษารสชาติ ของไก่ทอดเป็นหม้อแรกจากพีท ฮาร์แมน ผู้ที่ได้แฟรนไชส์เป็นรายแรก



1980 แล้วในปี 1980 ผู้พันแซนเดอร์สก็ถึงแก่กรรมท่านอายุได้ 90 ปีร่างของท่านถูกนำไปตั้ง ณ ที่ทำการของเมืองหลวงมลรัฐเคนตั๊กกี้ และจากนั้นได้ถูกนำไปฝังที่สุสานเดฟฮิลล์ เมืองหลุยวิลล์



1999 ในปัจจุบัน KFC มีเครือข่ายของร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีร้านที่ให้บริการอาหารและของว่างมากกว่า 29,500 แห่ง ในกว่า 92 ประเทศทั่วโลก KFC ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของผู้พันแซนเดอร์สถือเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคงด้วยคุณภาพและสำนึกในความรับผิดชอบที่ดีต่อสังคม ไม่ว่าท่านจะอยู่ในประเทศใดท่านจะสามารถสัมผัสและระลึกถึงผู้พัน แซนเดอร์ส ตำนานแห่งไก่ทอดแสนอร่อยของ KFC ได้เสมอ

ชำแหละความฉลาดของ"ไอสไตน์"



ชำแหละความฉลาดของไอน์สไตน์




ผู้ที่สนใจเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษท่านนี้คงจะทราบดีว่าแม้ร่างกายของเขาจะเน่าเปื่อยเป็นผุยผงไปแล้ว แต่สมองอันฉลาดปราดเปรื่องของไอน์สไตน์ ถูกดองไว้เพื่อให้นักประสาทวิทยาได้ศึกษา...


เชื่อว่าทั้งนักวิจัยและบุคคลธรรมดาต่างก็สนใจใคร่รู้ว่า สมองของไอน์สไตน์จะแตกต่างจากสมองคนทั่วไปมากน้อยสักแค่ไหน เข้าจึงได้ชื่อว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ข้อมูลที่เราทราบในเบื้องต้นนานมาแล้ว มีว่า สมองของยอดอัจฉริยะท่านนี้มิได้ใหญ่โตกว่าสมองของคนปกติ จำนวนเซลล์มีพอๆ กัน แต่ส่วนต่างนั้นมีแน่...


จากการวิเคราะห์สมองไอน์สไตน์ครั้งล่าสุดโดยนักวิจัยจากแคนนาดาตีพิมพ์ในวรสารแลนเซ็ต ระบุว่าสมองของไอน์สไตน์มีลักษณะบางประการ ที่แตกต่างจากสมองของคนทั่วไปคือ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถด้านคณิตศาสตร์และการคิดหาเหตุผลแบบspatial reasoning มีขนาดใหญ่กว่าขนาดเฉลี่ยอย่างเห็นได้ชัด และอาจจะมีการติดต่อกันระหว่างเซลล์ที่มากกว่าปกติ ทำให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก


ผู้ที่ทำการศึกษาเปรียบเทียบสมองของนักวิทย์นามอุโฆษคือ ดร.แซนดรา วิเทลสัน นักวิจัยด้านระบบประสาทซึ่งเป็นผู้ดูแล brain bank หรือ ธนาคารสมอง ที่มหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ที่แฮมิลตัน ออนทาริโอ ประเทศแคนาดา ธนาคารสมองแห่งนี้มีตัวอย่างสทองปกติมากมายที่เจ้าของอุทิศไว้เพื่อการศึกษาก่อนตาย ทำให้ ดร.แซนดรา มีข้อมูลเปรียบเทียบมากพอ ที่จะใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการศึกษาสมองที่มีอายุใกล้เคียงกับไอน์สไตน์มาทำการศึกษาเปรียบเทียบ



และผลจากการเปรียบเทียบนี้เอง ที่ยืนยันความรู้เดิมๆ ว่า ขนาดของสมองไอน์สไตน์ก็ไม่แตกต่างจากคนปกติ แต่ส่วนที่ต่างคือไอน์สไตน์มีสมองส่วนที่เรียกว่า อินฟีเรีย พารีทัล โลบ (inferior parietal lobe) ใหญ่กว่าปกติถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ดร.แซนดรารายงานไว้ว่า "การรับรู้แบบ visuo spatial การคิดเชิงคณิตศาสตร์ และการมีมโนภาพของการเคื่อนไหว ขึ้นตรงต่อสมองส่วนนี้มากที่สุด" เราทราบมาว่า การมองสิ่งต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่งของไอน์สไตน์เกิดจาก การคิดออกมาเป็นภาพก่อนที่จะแปลงเป็นภาษาคณิตศาสตร์ เช่น ทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษของ ไอน์สไตน์ที่เกิดจากความครุ่นคิดไอน์สไตน์ที่ว่า จะเป็นไปได้อย่างไรหากเราเคลื่อนที่ไปในอวกาศด้วยความเร็วเท่าแสง



นอกจากสมองส่วน อินฟีเรีย พารีทัล โลบ ที่ใหญ่กว่าปกติแล้ว ยังมีส่วนสำคัญที่เรียกว่า Sylvian fissureซึ่งก็ตือ รอยแยกของสมองพบว่าสมองไอน์สไตน์มีร่องนี้เล็กมาก เมื่องร่องนี้เล็กแผ่นสไลด์ภาพตัดขวางของสมองไอน์สไตน์มราอยู่ติดกันแน่น ทำให้การสื่อสารระหว่างเซลล์เป็นไปได้มากกว่าเมื่อมีการถ่ายทอดข้อมูลและความคิดมากกว่า ก็นำไปสู่สติปัญญาและความฉลาดมากกว่านั่นเอง


นี่เป็นเพียง ความเป็นไปได้ทางทฤษฎีประสาทวิทยายุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะเป้นจริงตามนี้หรือไม่ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าไอน์สไตน์ คือยอดอัจฉริยะและเราก็ทราบว่าสมองของเขาแตกต่างจากคนปกติ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดว่า สองสิ่งนี้เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน

สิ่งที่ช่วยยืนยันให้มั่นใจได้ก็คือ เราจะต้องไปตรวจดูสมองของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ท่านอื่นๆ ด้วยว่า สมองของเราเหล่านั้นมีความผิดปกติ แบบเดียวกับสมองไอน์สไตน์หรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ยังมีปัญหาอีกข้อหนึ่งคือ ความผิดปกตินี้มาจากพันธุกรามหรือเป็นผลมาจากการฝึกบริหารสมอง ทำให้เราไม่รู้อยู่ดีว่าอัจฉริยภาพของไอน์สไตน์นั้นเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดหรือเกิดจากการฝึกฝน



วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

ความจริงของ "กำแพงเมืองจีน" ที่เราอาจไม่รู้


กำแพงเมืองจีน (จีนตัวเต็ม: 長城; จีนตัวย่อ: 长城; พินอิน: Chángchéng ฉางเฉิง) กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นกว่า 2000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิ์องค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยกษัตริย์องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่เคยมีมา

มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนที่หลายๆ คนยังไม่เคยทราบมาก่อน

1. เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนษย์ แม้แต่อย่างเดียวที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low Earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radar การมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือสีของดิน หิน


2. กำแพงเมืองจีนไม่ไช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลานับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร

3. กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ไว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคนถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความหิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพง

4. ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของกำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร

5. การก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฎภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก

6. กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ300ถึง 500 หลา จะมีฐานบัญชาการเพื่อใช้สับเปลี่ยนเวรยามและใช้เป็นจุดสังเกตการณ์นี้ยังมีหอสังเกตการณ์กว่า 1 หมื่นแห่ง

7. กำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางคมนาคม ในระยะแรก ประโยชน์ของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันช่วยให้การคมนาคมและขนส่งในเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขาเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขี้น

8. กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่ากำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน

9. สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจ ประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ

เรื่องกล้วยๆ...ที่คุณอาจมองข้าม


กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลย
เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยนะ นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก (เคยเห็นในสนามเทนนิส..พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ) ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์ ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย....มาดูกัน
ความเศร้าซึม จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น
pms (premenstrual syndrome) สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย..... มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........
โรคโลหิตจาง (Anemia) ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ....ฮ่า... (โรคนี้เป็นบ่อย ๆ......หุ...หุ...)
ความดันโลหิต (Blood Pressure) กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ ยงความดันได้จริง
เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power) ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน200 คนจาก Twickenham school อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช ้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
อาการท้องผูก (Constipation) เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี
เมาค้าง (Hangovers) วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้ว ยหอมปั่น banana milkshake โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย (ฮ่า.....เพิ่งรู้นะเนี่ย....ต้องลองแน่ ๆ...) ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น......
จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn) กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว
Morning Sickness ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่นไม่อยากจะตื่นบ้าง....ฯลฯ ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้ บรรเทา
แผลยุงกัด ก่อนที่จะใช้ยาทา ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ
ระบบประสาท (Nerves) วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด. ....อ่อนล้าได้
อ้วนจากทำงานมากเกินไป ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเ ต้โต้ชิปส์มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุกๆ 2 ชม. มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก
แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล (Ulcers)สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้น รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้
ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control) ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล ้วยหอมเป็นประจำ เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น......so cool....
ลดความอยากสูบบุหรี่ สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสา รนิโคติน




เห็นไหมว่ากล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริง ๆ
เปรียบเทียบกับแอปเปิลแล้ว
กล้วยหอมมีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า
มีคาร์โบไฮเดรทมากกว่า 2 เท่า
ฟอสฟลอรัสมากกว่า 3 เท่า
วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า
วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆมากกว่า 2 เท่า
ดังนั้นจากที่ฝรั่งเคยพูดกันว่า "An apple a day keeps doctor away."
ต่อไปคงจะต้องเปลี่ยนเป็น "A banana a day keeps doctor away." ซะแล้วมั๊ง.....
อ้อ...แถมท้ายอีกอย่างหนึ่งรองเท้าหนัง
ถ้าอยากขัดให้มันวาวแบบเร็ว ๆ
ก็เอาเปลือกกล้วยหอมด้านในถูรองเท้าไปเลย
เสร็จแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดขัดออก...รองเท้าจะมันแผล็บเลย....


รู้ประโยชน์ของกล้วยหอมมากมายขนาดนี้แล้ว ลองหันมากินกล้วยหอมกันเถอะจ้า

ผมยาวเร็วขึ้นด้วย 6 วิธีนี้


ออกกำลังกาย!! น้องๆ รู้กันไหมจ้ะว่าเส้นผมของเรานั้นก็สามารถที่จะออกกำลังกายได้ โดยวิธีนั้นก็แสนง่ายดายเพียงแค่ก้มศีรษะค้างไว้ 30 วินาที แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น การออกกำลังกายแบบนี้จะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงเส้นผมให้แข็งแรงและยาวเร็วขึ้น

โปรตีน!! สารอาหารชนิดนี้นอกจากมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราแล้ว ยังช่วยปกป้องและซ่อมแซมเส้นผมอีกด้วย ช่วยลกการหลุดร่วงและแตกหักของเส้นผม

กิน!! การกินปลา พืชผักใบเขียว และบูลเบอรี่จะช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนนั้นแข็งแรงขึ้น รวมไปถึงเส้นผมของเราอีกด้วย

นวดศีรษะ!! การนวดจะเป้นการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และช่วยทำให้ผมยาวเร็วขึ้นอีกด้วย ดังนั้นขณะที่สระผม น้องๆ ก็อย่าลืมนวดศีรษะอย่างเบามือกันด้วยนะจ๊ะ

หวีผม!! ขณะที่ผมเปียกอยู่ น้องๆ ห้ามหวีผมนะจ๊ะ เพราะจะทำให้เส้นผมขาดและหลุดออกมาได้ เวลาที่เหมาะสมกับการหวีผมมากที่สุด คือ ตอนที่ผมแห้งสนิทแล้วจ้ะ

ตัดผม!! การเล็มปลายผมนั้นนอกจากจะช่วยตัดผมแตกปลายออกไปแล้ว ยังจะช่วยทำให้ผมยาวเร็วขึ้นอีกด้วย

6 สิ่งที่ต้องทำตอน "ฟ้าผ่า"


มือถือ >> ถ้าฝนตกลงมาล่ะก็ น้องๆ ไม่ควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือนะจ๊ะ เพราะว่าแผ่นโลหะ แบตเตอรี่ที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ เป็นตัวล่อสายฟ้าได้นะจ๊ะ ดังนั้นถ้าฝนตกน้องๆ จึงควรที่จะเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้ไว้ในซองหนังหรือซองผ้าที่มิดชิดทันที

ปิดโทรทัศน์ >> ถ้าฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ น้องๆ ควรที่จะรีบปิดโทรทัศน์ทันทีนะจ๊ะ เพราะเสาอากาศเป็นตัวนำไฟฟ้าอย่างหนึ่ง ถ้าเสาอากาศถูกฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้ามาในโทรทัศน์ทำให้ระเบิดได้ ดังนั้นวิธีป้องกันสำหรับเรื่องนี้คือ ควรที่จะต่อสายดินไว้ข้างเสาอากาศเพื่อช่วยลดความเสี่ยงลงได้บ้าง แต่ทางที่ดีที่สุดควรที่จะปิดโทรทัศน์ดีกว่าจ้ะ เพื่อความปลอดภัยของตัวน้องๆ เองและทรัพย์สิน

ไม่ใส่เครื่องประดับโลหะ >> อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า “โลหะ” เป็นตัวนำไฟฟ้าชั้นดี ที่ไม่ว่าน้องๆ จะใส่เครื่องประดับโลหะชิ้นเล็กขนาดไหนก็ยังสามารถเป็นตัวล่อฟ้าผ่าได้อยู่ดี ดังนั้นในฤดูฝนปีนี้ น้องๆ จึงควรที่จะหันมาสวมใส่เครื่องประดับที่ทำจากอย่างอื่นแทน เช่น สร้อยลูกปัด กำไลไม้ เป็นต้น

ท่านั่งช่วยได้ >> ควรที่จะนั่งยองๆ ให้ต่ำที่สุด บีบขาให้ชิดกันด้วยเพื่อช่วยลดค่าความต่างศักย์ที่จะทำให้ฟ้าผ่าลงมาใส่น้องๆ ได้

ไม่อยู่ใกล้ของสูง >> น้องๆ ไม่ควรที่จะยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ หรือเสาไฟฟ้า เพราะฟ้าผ่าชอบที่จะผ่าลงมายังของที่อยู่สูงๆ เช่นนี้

อยู่ในอาคารที่มีสายล่อฟ้า >> เพราะจะช่วยป้องกันความปลอดภัยของน้องๆ ได้ ถ้ามีฟ้าผ่าลงมาสายล่อฟ้าจะทำหน้าที่ดึงสายฟ้าไปจากคนที่อยู่ในบริเวณนั้น

เดินยังไงให้ร่างกายแข็งแรง

อย่างที่เราทราบกันว่าการออกกำลังพอประมาณเป็นคุณแก่สุขภาพ ซึ่งนอกจากการออกกำลังกายตามปกติแล้ว นักวิจัยด้านพลศึกษาฯ ในสหรัฐฯ ระบุว่าเราควรจะเดินให้ได้นานอาทิตย์ละ 150 นาที เฉลี่ยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน

นักวิจัยของคณะพลศึกษาและโภชนาการศาสตร์ มหาวิทยาลัยซาน ไดโก สเตท ยังคำนวณออกมาได้ว่า คนเราควรจะออกกำลังเดินทุกวัน ด้วยความเร็วในอัตราอย่างต่ำนาทีละ 100 ก้าว โดยสำหรับผู้ชาย อาจจะอยู่ในอัตรานาทีละ ระหว่าง 92-102 ก้าว ขณะที่ผู้หญิง อยู่ในอัตรานาทีละระหว่าง 91-115 ก้าว จึงจะเป็นการออกกำลังอย่างหนักหน่วงพอประมาณ

วารสารวิชาการ "เวชศาสตร์ป้องกันแห่งอเมริกา" รายงานว่า ดร.ไซมอน เจ มาร์แชลล์ ผู้ตรวจชั้นนำ กล่าวว่า "เราเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ ช่วยยืนยันข้อแนะนำในเรื่องการออกกำลังด้วยการเดินให้ได้ 100 กว่าก้าวในหนึ่งนาที ตามคำแนะนำของการให้ออกกำลังขนาดพอ ประมาณ"

ได้รู้แบบนี้แล้วใครที่นิยมความสะดวกสบายประเภทที่เดินนิดเดินหน่อยก็เมื่อยแล้วคงจะต้องหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองซะแล้วล่ะค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวน้องๆ

อากาศก็ไม่หนาว ทำไมปากถึงแห้ง??

เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมบางครั้งปากของเราถึงมีอาการแห้งแตกทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าหนาวแล้วก็ไม่ใช่ช่วงที่มีอากาศเย็นซะหน่อย ... ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า จริงๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้ปากแห้งแตกนั้นไม่ใช่มาจากสภาพอากาศที่แห้งในฤดูหนาวอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ปากของน้องๆ แห้งแตกได้ค่ะ

และวันนี้พี่เหมี่ยวก็เลยรวบรวมปัจจัยที่อาจจะเป็นสาเหตุของอาการปากแห้งแตกมาฝากน้องๆ กันค่ะ

ผิวขาดน้ำ >>> ถ้าน้องๆ เป็นคนที่ดื่มน้ำน้อย ผิวทั่วร่างกายรวมทั้งริมฝีปากก็จะแห้งเพราะขาดน้ำ ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นที่สุดถ้าน้องๆ ไม่อยากปากแห้งแตกล่ะก็ควรดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อยก็วันและแปดแก้ว

เลียริมฝีปาก >>> น้องๆ อาจคิดว่าการเลียริมฝีปากบ่อยๆ จะช่วยทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นขึ้น แต่จริงๆ แล้วเอนไซม์ในน้ำลายจะทำให้ความชุ่มชื้นระเหยออกไปเร็วขึ้น เมื่อทราบอย่างนี้แล้วน้องๆ คนที่มีพฤติกรรมชอบเลียปากล่ะก็ ต้องรีบหยุดทันทีเลยนะคะ

นอนอ้าปาก >>> พฤติกรรมนี้อาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว การนอนอ้าปากหรือสูดหายใจทางปากบ่อยๆ ก็ทำให้ปากแห้งแตกได้ เพราะสูญเสียความชุ่มชื้นในขณะเปิดปาก น้องๆ สามารถป้องกันได้โดยทาครีมหรือลิปบาล์มเป็นประจำ

แพ้สารบางอย่าง >>> ปัญหานี้จะพบบ่อยกับสาวๆ ที่ชอบทาลิปสติกนะคะ เป็นไปได้ว่าสารบางอย่างในลิปสติกหรือเครื่องสำอางทำให้น้องๆ เกิดอาการแพ้ ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติต่างๆ เกิดขึ้น น้องๆ ควรหาให้เจอว่าตนเองแพ้อะไร ถ้าทราบแล้วก็ต้องเลิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมดังกล่าวไปเลยค่ะ แล้วอาการปากแห้งแตกก็จะหายไปเอง

และนี่ก็คือปัจจัยหลักๆ ที่เป็นที่มาของอาการปากแห้งแตกของน้องๆ นะคะ ทราบถึงที่มาที่ไปกันแล้วที่นี่น้องๆ ก็คงจะต้องรู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ เพื่อสุขภาพปากที่ดีของน้องๆ ค่ะ

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

7 ข้อห้าม!! หลังกินอาหาร

“หนังท้องตึง หนังตาหย่อน” คือ ประโยคที่ใครหลายๆ คนชอบพูดกันเวลาอิ่มใช่ไหมจ๊ะ พอกินเสร็จเราก็จะรู้ง่วงนอนเล็กน้อย แต่พี่ปัดขอบอกน้องๆ ไว้ก่อนว่า ห้ามนอนทันทีเด็ดขาด!! นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามอีก 6 ข้อ ที่ห้ามทำหลังกินอาหาร คือ.....

ห้ามสูบบุหรี่ทันที!! การเป็นสิงห์อมควันเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว เพราะจะทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพอง , โรคมะเร็งปอด และการที่สูบบุหรี่หลังกินอาหาร 1 มวน จะเทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน (อย่าลืมไปเตือนคุณพ่อหรือญาติๆ ที่สูบบุหรี่นะคะ)
ห้ามกินผลไม้ทันที!! ส่วนใหญ่น้องๆ มักจะกินผลไม้หลังจากที่กินอาหารทันทีเลยใช่ไหมจ๊ะ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกินผลไม้มากที่สุด คือ 1 หรือ 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังกินอาหาร
ห้ามดื่มชาทันที!! เพราะใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่น้องๆ ทานเข้าไปย่อยยากขึ้น
ห้ามขยายเข็มขัดเด็ดขาด!! หลังกินอาหารเสร็จน้องๆ อย่าขยายเข็มขัดนะจ๊ะ เพราะจะทำให้ลำไส้ทำงานไม่เป็นปกตินะ

ห้ามอาบน้ำทันที!! กินข้าวเสร็จแล้ว อย่าพึ่งรีบไปอาบน้ำนะจ๊ะ เพราะการอาบน้ำจะทำให้เลือดไหลเวียนไปที่มือละเท้าทั่วร่างกาย เป็นสาเหตุทำให้บริเวณท้องมีเลือดไหลเวียนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้การย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
ห้ามเดินทันที!! การเดินหลังจากที่กินอาหารเสร็จ จะทำให้การดูดซึมอาหารทำได้ไม่ดี ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือ หลังจากกินอาหารเสร็จ 1 ชั่วโมงไปแล้ว
ห้ามนอนทันที!! เพราะการกินเสร็จแล้วนอนนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังจะทำให้การย่อยอาหารไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และเกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหารได้อีกด้วย

ทราบถึง 7 ข้อห้าม!! ที่ห้ามทำหลังกินอาหารเสร็จกันไปแล้วนะจ๊ะ ก็อย่าลืมเอาไปปฏิบัติตามกันด้วยนะ และอย่าลืมว่าจะต้องกินผักผลไม้ให้ครบทั้ง 5 หมู่ด้วย เพื่อสุขภาพร่างกายของน้องๆ จะได้แข็งแรงนะจ๊ะ

เผยกินแกงกะหรี่ ป้องกันอัลไซเมอร์ได้

เผยกิน “แกงกะหรี่” ป้องกันอัลไซเมอร์ได้


พร้อมทานครบ 5 หมู่ - ออกกำลังกายไปด้วย

รับประทานแกงกะหรี่หรืออาหารปรุงด้วยผงกะหรี่สัปดาห์ละ1 หรือ 2 ครั้งอาจช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) ได้ การค้นพบครั้งนี้เป็นผลงานของมหาวิทยาลัยดุค ในนอร์ธ แคโรไลน่า สหรัฐอเมริกา โดยเชื่อว่าสารเคอร์คูมิน ในแกงกระหรี่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของหินปูนโปรตีนที่ชื่อ"แอมมิลอยด์" ในสมองที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของความจำเสื่อม
อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยเตือนว่า อย่าไปหวังพึ่งว่าการรับประทานแกงกะหรี่จะเป็นยาวิเศษป้องกันโรคความจำเนื่อมเพราะหากต้องการมีสมองดีก็ต้องรับประทานทุกชนิดอย่างเลือกสรร ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ตามด้วยการรับประทานแกงกะหรี่อย่างสม่ำเสมอ
ผลจากการวิจัยนี้อาจะเป็นไปได้ที่จะมีการพัฒนาเม็ดยาแกงกะหรี่ที่ให้ผลอย่างเดียวกับแกงกะหรี่หรือผงกะหรี่
สมาคมโรคอัลไซเมอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาสนับสนุนผลทางการวิจัยนี้ โดยชี้ว่าชุมชนชาวอินเดียที่รับประทานแกงกะหรี่อย่างสม่ำเสมอ มีอัตราการเกิดของโรคความจำเสื่อมอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งในช่วงนั้นทางสมาคมยังบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่หลังจากนี้สมาคมสนใจจะสำรวจผลดีจากสารเคอร์คูมินในผงกะหรี่ว่าสามารถป้องกันสมองเสื่อมได้จริงหรือไม่
หากผลกะหรี่ให้ผลดีในการป้องกันโรคจริง ก็จะถือว่าเป็นแนวทางการรักษาและป้องกันราคาถูก ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณภาพชีวิตคนจำนวนมากดีขึ้น

นอกจากนี้แกงกะหรี่ยัง สามารถช่วยสกัดมะเร็งเต้านมได้ วันนี้พี่นัทจึงรวบรวมเกร็ดความรู้มีมาบอกกัน.... ศูนย์ เอ็ม ดี แอนเดอร์สัน มหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้วิจัยออกมาแล้วว่า สารเคอร์คิวมินที่อยู่ในขมิ้นเครื่องเทศที่เป็นส่วนผสมหลักของแกงกะหรี่นั้น สามารถช่วยหยุดยั้งมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลามไปที่อื่นได้ โดยสถาบันได้ทดลองกับหนูที่เป็นมะเร็งเต้านม พบว่า ..หนูที่ได้รับสารเคอร์คิวมินเพียงอย่างเดียว สามารถทำให้ก้อนเนื้อเล็กลงเรื่อย ๆ การค้นพบนี้กลายเป็นความหวังใหม่ของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ส่วนคุณผู้ชายสามารถทานแกงกะหรี่ เพื่อช่วยชะลอมะเร็งต่อมลูกหมากได้ เนื่องจากมีสารเคอร์คิวมิน อีกทั้งช่วยลดอาการอัลไซเมอร์ได้ รู้อย่างนี้แล้วลองหันมาทานแกงกะหรี่กันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดีจ้า

ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....

เคยเจออาการแบบนี้บ้างไหมจ๊ะ เช่น คุยโทรศัพท์นานๆ แล้วรู้สึกหูของตัวเองร้อน หรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหู ถ้าน้องๆ มีอาการแบบนี้ล่ะก็ รีบเข้ามาทางนี้โดยด่วนเลย เพราะพี่ปัดมีสาเหตุของอากาศเหล่านี้มาบอกแล้วจ้ะ
ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....

มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน ซึ่งเมื่อน้องๆ แคะ หรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
วิธีป้องกัน
ถ้าน้องๆ รู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ พี่ปัดขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค

หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น น้องๆ รู้กันรึเปล่าจ๊ะว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้

วิธีป้องกัน
น้องๆ ควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่นะจ๊ะ
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ

อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึงต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้

วิธีป้องกัน
น้องๆ จะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยล่ะก็ น้องๆ จะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุแล้วก็ได้นะจ๊ะ

เห็นไหมจ๊ะว่า สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นสามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเองแล้วล่ะก็ น้องๆ จึงควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ , เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสมไม่มากจนเกินไปนะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

คำวิเศษนิยม

ยุติธรรม หากเรายึดหลักความยุติธรรม ความคิดของเราจะไม่มีทางเอาเปรียบคนอื่นอย่างตั้งใจ เราจะให้ความสำคัญของความเท่าเทียมกัน นำมาซึ่งการให้เกียรติ นับถือ ผู้อื่น อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการอยู่ร่วมกันของสังคม


ขอบคุณ ใช้ได้บ่อย พูดได้บ่อย ไม่มีความเสียหายใดๆ ทั้งนั้น บางคนมักรู้สึกอยากใช้คำขอบคุณ กับคนที่มีสถานณะสูงกว่าเท่านั้นความจริงคำขอบคุณมีไว้ใช้กับทุกคน คำขอบคุณ ขอบใจ ใช้ได้กับ คนที่เด็กกว่า,คนที่จนกว่า,คนที่สถานะต่ำกว่า ฯลฯหัดให้ติดปากไปเลย ไม่มีเสียหาย
สวัสดี การทักทายที่บอกได้ไม่มีลิมิต ยิ่งเจอคนที่อาวุโสกว่า ยกมือประกอบคำพูดด้วยยิ่งน่ารัก ก็ทักทายคนอื่นๆ ก่อนเนี่ย เป็นการสลายบรรยากาศขุ่นมัว และอาการเกร็งอย่างได้ผลทีเดียว จากความนอบน้อมโดยการสวัสดี จะทำให้เราดูน่าเอ็นดู น่าคบหามากขึ้นด้วย


ไม่เป็นไร การให้อภัยเป็นเรื่องสุดยอดอยู่แล้ว ด้วยคำว่า 'ไม่เป็นไร' จะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อความอารีให้คนอื่นรู้ เป็นการให้โอกาสกับคนที่ทำผิดด้วย ต่อไปนี้เมื่อมีใครทำพผิดลาดกับเราโดยไม่ได้เจตนา รู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าจะบอกเขาว่าอย่างไร ?


เกรงใจ เมื่อเรามีคำคำนี้อยู่ในใจ เราจะมีความรับผิดชอบต่อตัวเองมากขึ้น โดยพยายามพึ่งพาคนอื่นให้น้อยที่สุด และไม่พึ่งพาเลยจะดีใหญ่ ในทางกลับกัน ยิ่งเรามีความเกรงใจมากเท่าไร ทุกๆ คนยิ่งอยากช่วยเหลือด้วยความเต็มใจมากขึ้นเท่านั้น ก็ความดีมันชนใจพวกเขาเข้าให้แล้วไง


เสียสละ คำดีๆ อีกหนึ่งคำ ที่อยากให้มีไว้ประจำตัว ประจำใจ เครื่องมือในการทำดี เมื่อระลึกถึงคำนี้เมื่อไร จะเหมือนเป็นการต่อต้านความเห็นแก่ตัวไปในทันใด และการอยากทำเพื่อคนอื่นจะเข้ามาแทน จำให้สนิทใจเลยนะคำนี้

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เศรษฐกิจแบบพอเพียง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทยและคนไทยอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้มีความ " พออยู่พอกิน" และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ ทรงวิเคราะห์ว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ในที่สุด พระราชดำรัสที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทำมาหากินให้พออยู่พอกินได้ ดังนี้
"….ในการสร้างถนน สร้างชลประทานให้ประชาชนใช้นั้น จะต้องช่วยประชาชนในทางบุคคลหรือพัฒนาให้บุคคลมีความรู้และอนามัยแข็งแรง ด้วยการให้การศึกษาและการรักษาอนามัย เพื่อให้ประชาชนในท้องที่สามารถทำการเกษตรได้ และค้าขายได้…"
ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงขึ้นนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนในแนวพระราชดำริของ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งได้ทรงคิดและตระหนักมาช้านาน เพราะหากเราไม่ไปพี่งพา ยึดติดอยู่กับกระแสจากภายนอกมากเกินไป จนได้ครอบงำความคิดในลักษณะดั้งเดิมแบบไทยๆไปหมด มีแต่ความทะเยอทะยานบนรากฐานที่ไม่มั่นคงเหมือนลักษณะฟองสบู่ วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้น หรือไม่หนักหนาสาหัสจนเกิดความเดือดร้อนกันถ้วนทั่วเช่นนี้ ดังนั้น "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงได้สื่อความหมาย ความสำคัญในฐานะเป็นหลักการสังคมที่พึงยึดถือ
ในทางปฏิบัติจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทั้งหลักการและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ขั้นฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยู่พอกินขึ้นไปถึงขั้นแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและทักษะวิชาการที่หลากหลายเกิดตลาดซื้อขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพื้นฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนนี้ เศรษฐกิจของ 3 ชาติ จะพัฒนาขึ้นมาอย่างมั่นคงทั้งในด้านกำลังทุนและตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายในชาติ และทั้งที่จะพึงคัดสรรเรียนรู้จากโลกภายนอก
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจที่พอเพียงกับตัวเอง ทำให้อยู่ได้ ไม่ต้องเดือดร้อน มีสิ่งจำเป็นที่ทำได้โดยตัวเองไม่ต้องแข่งขันกับใคร และมีเหลือเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มี อันนำไปสู่การแลกเปลี่ยนในชุมชน และขยายไปจนสามารถที่จะเป็นสินค้าส่งออก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจระบบเปิดที่เริ่มจากตนเองและความร่วมมือ วิธีการเช่นนี้จะดึงศักยภาพของ ประชากรออกมาสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว ซึ่งมีความผู้พันกับ “จิตวิญญาณ” คือ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า”
ในระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะจัดลำดับความสำคัญของ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” มูลค่านั้นขาดจิตวิญญาณ เพราะเป็นเศรษฐกิจภาคการเงิน ที่เน้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการที่ไม่จำกัดซึ่งไร้ขอบเขต ถ้าไม่สามารถควบคุมได้การใช้ทรัพยากรอย่างทำลายล้างจะรวดเร็วขึ้นและปัญหาจะตามมา เป็นการบริโภคที่ก่อให้เกิดความทุกข์หรือพาไปหาความทุกข์ และจะไม่มีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ในการบริโภค ที่จะก่อให้ความพอใจและความสุข (Maximization of Satisfaction) ผู้บริโภคต้องใช้หลักขาดทุนคือกำไร (Our loss is our gain) อย่างนี้จะควบคุมความต้องการที่ไม่จำกัดได้ และสามารถจะลดความต้องการลงมาได้ ก่อให้เกิดความพอใจและความสุขเท่ากับได้ตระหนักในเรื่อง “คุณค่า” จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ไม่ต้องไปหาวิธีทำลายทรัพยากรเพื่อให้เกิดรายได้มาจัดสรรสิ่งที่เป็น “ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และขจัดความสำคัญของ “เงิน” ในรูปรายได้ที่เป็นตัวกำหนดการบริโภคลงได้ระดับหนึ่ง แล้วยังเป็นตัวแปรที่ไปลดภาระของกลไกของตลาดและการพึ่งพิงกลไกของตลาด ซึ่งบุคคลโดยทั่วไปไม่สามารถจะควบคุมได้ รวมทั้งได้มีส่วนในการป้องกันการบริโภคเลียนแบบ (Demonstration Effects) จะไม่ทำให้เกิดการสูญเสีย จะทำให้ไม่เกิดการบริโภคเกิน (Over Consumption) ซึ่งก่อให้เกิดสภาพเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน
การบริโภคที่ฉลาดดังกล่าวจะช่วยป้องกันการขาดแคลน แม้จะไม่ร่ำรวยรวดเร็ว แต่ในยามปกติก็จะทำให้ร่ำรวยมากขึ้น ในยามทุกข์ภัยก็ไม่ขาดแคลน และสามารถจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยไม่ต้องหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากเกินไป เพราะฉะนั้นความพอมีพอกินจะสามารถอุ้มชูตัวได้ ทำให้เกิดความเข้มแข็ง และความพอเพียงนั้นไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง แต่มีการแลกเปลี่ยนกันได้ระหว่างหมู่บ้าน เมือง และแม้กระทั่งระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือการบริโภคนั้นจะทำให้เกิดความรู้ที่จะอยู่ร่วมกับระบบ รักธรรมชาติ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง เพราะไม่ต้องทิ้งถิ่นไปหางานทำ เพื่อหารายได้มาเพื่อการบริโภคที่ไม่เพียงพอ
ประเทศไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรและยังมีพอสำหรับประชาชนไทยถ้ามีการจัดสรรที่ดี โดยยึด " คุณค่า " มากกว่า " มูลค่า " ยึดความสัมพันธ์ของ “บุคคล” กับ “ระบบ” และปรับความต้องการที่ไม่จำกัดลงมาให้ได้ตามหลักขาดทุนเพื่อกำไร และอาศัยความร่วมมือเพื่อให้เกิดครอบครัวที่เข้มแข็งอันเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบสังคม
การผลิตจะเสียค่าใช้จ่ายลดลงถ้ารู้จักนำเอาสิ่งที่มีอยู่ในขบวนการธรรมชาติมาปรุงแต่ง ตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วซึ่งสรุปเป็นคำพูดที่เหมาะสมตามที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ ที่ว่า “…ทรงปลูกแผ่นดิน ปลูกความสุข ปลดความทุกข์ของราษฎร” ในการผลิตนั้นจะต้องทำด้วยความรอบคอบไม่เห็นแก่ได้ จะต้องคิดถึงปัจจัยที่มีและประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาอย่างเช่นบางคนมีโอกาสทำโครงการแต่ไม่ได้คำนึงว่าปัจจัยต่าง ๆ ไม่ครบ ปัจจัยหนึ่งคือขนาดของโรงงาน หรือเครื่องจักรที่สามารถที่จะปฏิบัติได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด คือวัตถุดิบ ถ้าไม่สามารถที่จะให้ค่าตอบแทนวัตถุดิบแก่เกษตรกรที่เหมาะสม เกษตรกรก็จะไม่ผลิต ยิ่งถ้าใช้วัตถุดิบสำหรับใช้ในโรงงานั้น เป็นวัตถุดิบที่จะต้องนำมาจากระยะไกล หรือนำเข้าก็จะยิ่งยาก เพราะว่าวัตถุดิบที่นำเข้านั้นราคายิ่งแพง บางปีวัตถุดิบมีบริบูรณ์ ราคาอาจจะต่ำลงมา แต่เวลาจะขายสิ่งของที่ผลิตจากโรงงานก็ขายยากเหมือนกัน เพราะมีมากจึงทำให้ราคาตก หรือกรณีใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร เกษตรกรรู้ดีว่าเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และผลผลิตที่เพิ่มนั้นจะล้นตลาด ขายได้ในราคาที่ลดลง ทำให้ขาดทุน ต้องเป็นหนี้สิน
การผลิตตามทฤษฎีใหม่สามารถเป็นต้นแบบการคิดในการผลิตที่ดีได้ ดังนี้
1. การผลิตนั้นมุ่งใช้เป็นอาหารประจำวันของครอบครัว เพื่อให้มีพอเพียงในการบริโภคตลอดปี เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันและเพื่อจำหน่าย
2. การผลิตต้องอาศัยปัจจัยในการผลิต ซึ่งจะต้องเตรียมให้พร้อม เช่น การเกษตรต้องมีน้ำ การจัดให้มีและดูแหล่งน้ำ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการผลิต และประโยชน์ใช้สอยอื่น ๆ
3. ปัจจัยประกอบอื่น ๆ ที่จะอำนวยให้การผลิตดำเนินไปด้วยดี และเกิดประโยชน์เชื่อมโยง (Linkage) ที่จะไปเสริมให้เกิดความยั่งยืนในการผลิต จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายทั้ง เกษตรกร ธุรกิจ ภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับเศรษฐกิจการค้า และให้ดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วยกันได้
การผลิตจะต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” การผลิตนั้นต้องยึดมั่นในเรื่องของ “คุณค่า” ให้มากกว่า “มูลค่า” ดังพระราชดำรัส ซึ่งได้นำเสนอมาก่อนหน้านี้ที่ว่า
“…บารมีนั้น คือ ทำความดี เปรียบเทียบกับธนาคาร …ถ้าเราสะสมเงินให้มากเราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย ใช้เงินที่เป็นดอกเบี้ย โดยไม่แตะต้องทุนแต่ถ้าเราใช้มากเกิดไป หรือเราไม่ระวัง เรากิน เข้าไปในทุน ทุนมันก็น้อยลง ๆ จนหมด …ไปเบิกเกินบัญชีเขาก็ต้องเอาเรื่อง ฟ้องเราให้ล้มละลาย เราอย่าไปเบิกเกินบารมีที่บ้านเมือง ที่ประเทศได้สร้างสมเอาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราให้เกินไป เราต้องทำบ้าง หรือเพิ่มพูนให้ประเทศของเราปกติมีอนาคตที่มั่นคง บรรพบุรุษของเราแต่โบราณกาล ได้สร้างบ้านเมืองมาจนถึงเราแล้ว ในสมัยนี้ที่เรากำลังเสียขวัญ กลัว จะได้ไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่รักษาไว้…”
การจัดสรรทรัพยากรมาใช้เพื่อการผลิตที่คำนึงถึง “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” เป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายทั้งทุนสังคมและทุนเศรษฐกิจ นอกจากนี้จะต้องไม่ติดตำรา สร้างความรู้ รัก สามัคคี และความร่วมมือร่วมแรงใจ มองกาลไกลและมีระบบสนับสนุนที่เป็นไปได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกฝังแนวพระราชดำริให้ประชาชนยอมรับไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยให้วงจรการพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กล่าวคือ
ทรงสร้างความตระหนักแก่ประชาชนให้รับรู้ (Awareness) ในทุกคราเมื่อ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนในทุกภูมิภาคต่าง ๆ จะทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิ่งที่ควรรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะช่วยป้องกันดินพังทลาย และใช้ปุ๋ยธรรมชาติจะช่วยประหยัดและบำรุงดิน การแก้ไขดินเปรี้ยวในภาคใต้สามารถกระทำได้ การ ตัดไม้ทำลายป่าจะทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น ตัวอย่างพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน ได้แก่
“….ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาไว้ ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกัน ทำได้….”
ทรงสร้างความสนใจแก่ประชาชน (Interest) หลายท่านคงได้ยินหรือรับฟัง โครงการอันเนื่อง มาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีนามเรียกขานแปลกหู ชวนฉงน น่าสนใจติดตามอยู่เสมอ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือโครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นต้น ล้วนเชิญชวนให้ ติดตามอย่างใกล้ชิด แต่พระองค์ก็จะมีพระราชาธิบายแต่ละโครงการอย่างละเอียด เป็นที่เข้าใจง่ายรวดเร็วแก่ประชาชนทั้งประเทศ
ในประการต่อมา ทรงให้เวลาในการประเมินค่าหรือประเมินผล (Evaluate) ด้วยการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ว่าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร สามารถนำไปปฏิบัติได้ในส่วนของตนเองหรือไม่ ซึ่งยังคงยึดแนวทางที่ให้ประชาชนเลือกการพัฒนาด้วยตนเอง ที่ว่า
“….ขอให้ถือว่าการงานที่จะทำนั้นต้องการเวลา เป็นงานที่มีผู้ดำเนินมาก่อนแล้ว ท่านเป็นผู้ที่จะเข้าไปเสริมกำลัง จึงต้องมีความอดทนที่จะเข้าไปร่วมมือกับผู้อื่น ต้องปรองดองกับเขาให้ได้ แม้เห็นว่ามีจุดหนึ่งจุดใดต้องแก้ไขปรับปรุงก็ต้องค่อยพยายามแก้ไขไปตามที่ถูกที่ควร….”
ในขั้นทดลอง (Trial) เพื่อทดสอบว่างานในพระราชดำริที่ทรงแนะนำนั้นจะได้ผลหรือไม่ซึ่งในบางกรณีหากมีการทดลองไม่แน่ชัดก็ทรงมักจะมิให้เผยแพร่แก่ประชาชน หากมีผลการทดลองจนแน่พระราชหฤทัยแล้วจึงจะออกไปสู่สาธารณชนได้ เช่น ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำนั้น ได้มีการค้นคว้าหาความเหมาะสมและความเป็นไปได้จนทั่วทั้งประเทศว่าดียิ่งจึงนำออกเผยแพร่แก่ประชาชน เป็นต้น
ขั้นยอมรับ (Adoption) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น เมื่อผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน บ่ม เพาะ และมีการทดลองมาเป็นเวลานาน ตลอดจนทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริและสถานที่อื่น ๆ เป็นแหล่งสาธิตที่ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ถึงตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ดังนั้น แนวพระราชดำริของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ราษฎรสามารถพิสูจน์ได้ว่าจะได้รับผลดีต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของตนได้อย่างไร
แนวพระราชดำริทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญา ตรากตรำพระวรกาย เพื่อค้นคว้าหาแนวทางการพัฒนาให้พสกนิกรทั้งหลายได้มีความร่มเย็นเป็นสุขสถาพรยั่งยืนนาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ได้พระราชทานแก่ปวงไทยตลอดเวลามากกว่า 50 ปี จึงกล่าวได้ว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์นั้นสมควรอย่งยิ่งที่ทวยราษฎรจักได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ตามที่ทรงแนะนำ สั่งสอน อบรมและวางแนวทางไว้เพื่อให้เกิดการอยู่ดีมีสุขโดยถ้วนเช่นกัน โดยการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขึ้นตอนต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตาหลักวิชาการ เพื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริม ความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ จะก่อให้เกิดความยั่งยืนและจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของครอบครัว ชุมชน และสังคม สุดท้ายเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน
ประการที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง
1. พอมีพอกิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป
2. พออยู่พอใช้ ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่นเหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่าใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล)
3. พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุ ปัญญาจะไม่เกิด
" การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง "
"เศรษฐกิจพอเพียง" จะสำเร็จได้ด้วย "ความพอดีของตน"

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

สุริยุปราคา

สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เมื่อสังเกตจากพื้นโลก จะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ โดยอาจบดบังแบบเต็มทั้งดวง หรือบดบังบางส่วนก็ได้ ในแต่ละปีจะสามารถสังเกตเห็นสุริยุปราคาบนโลกอย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดถึง 5 ครั้ง ในจำนวนนี้อาจเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้ 0-2 ครั้ง โอกาสที่จะเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงบนโลกนั้นค่อนข้างน้อย เนื่องจากสุริยุปราคาแต่ละครั้งจะเกิดในบริเวณแคบๆ ที่สอดคล้องพอดีกับเงามืดของดวงจันทร์เท่านั้น
การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงจึงถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่พิเศษอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนมากพากันเดินทางไปยังดินแดนอันห่างไกลเพื่อคอยเฝ้าสังเกต สุริยุปราคาเต็มดวงในปี พ.ศ. 2542 ที่ยุโรป ได้ทำให้สาธารณชนหันมาสนใจปรากฏการณ์นี้เพิ่มขึ้นมาก สังเกตได้จากจำนวนการเดินทางของประชาชนที่มุ่งไปเฝ้าสังเกตสุริยุปราคาวงแหวนในปี พ.ศ. 2548 และสุริยุปราคาเต็มดวงในปี พ.ศ. 2549 การเกิดสุริยุปราคาครั้งต่อไปคือ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เป็นการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงสังเกตเห็นได้ที่ประเทศจีน

ประเภท
สุริยุปราคามี 4 ประเภท ได้แก่

สุริยุปราคาเต็มดวง (total eclipse): ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดทั้งดวง
สุริยุปราคาบางส่วน (partial eclipse): มีเพียงบางส่วนของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ถูกบัง
สุริยุปราคาวงแหวน (annular eclipse): ดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากโลก ดวงจันทร์จึงปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์
สุริยุปราคาผสม (hybrid eclipse): ความโค้งของโลกทำให้สุริยุปราคาคราวเดียวกันกลายเป็นแบบผสมได้ คือ บางส่วนของโลกเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง บางส่วนเห็นสุริยุปราคาวงแหวน บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวง เป็นส่วนที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากกว่า

สุริยุปราคาอาจจัดเป็นอุปราคาประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับจันทร์ดับ
การที่ขนาดของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จะมาปรากฏพอดีกันในการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ถือเป็นเหตุบังเอิญ ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 400 เท่าของระยะห่างของดวงจันทร์ และเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ก็ใหญกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ประมาณ 400 เท่าเช่นกัน สัดส่วนนี้มีค่าเกือบจะเท่ากัน ทำให้ขนาดของดวงอาทิตย์กับขนาดของดวงจันทร์เมื่อมองจากโลกมีขนาดใกล้เคียงกันมาก คือราว 0.5 องศาเชิงมุม
วงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกเป็นวงรี เช่นเดียวกันกับวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จึงไม่แน่นอน ความสว่างของคราสเป็นค่าสัดส่วนระหว่างขนาดปรากฏของดวงจันทร์ ต่อขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์ระหว่างการเกิดคราส ถ้าคราสเกิดขึ้นระหว่างที่ดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งใกล้โลกที่สุด (เช่นอยู่ที่ตำแหน่ง perigee) อาจทำให้เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้ เพราะดวงจันทร์จะมีขนาดปรากฏใหญ่มากพอจะบังแผ่นจานดวงอาทิตย์ได้ทั้งหมดรวมถึงโฟโตสเฟียร์ สุริยุปราคาเต็มดวงจะมีค่าความสว่างมากกว่า 1 ในทางกลับกัน การเกิดคราสขณะที่ดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งไกลโลกที่สุด (เช่นอยู่ที่ตำแหน่ง apogee) อาจทำให้เกิดสุริยุปราคาวงแหวนได้ เพราะดวงจันทร์จะมีขนาดปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์ สุริยุปราคาวงแหวนจะมีค่าความสว่างน้อยกว่า 1 โดยมากเราจะพบเห็นสุริยุปราคาวงแหวนมากกว่าสุริยุปราคาเต็มดวง เพราะโดยเฉลี่ยแล้วดวงจันทร์จะอยู่ห่างจากโลกมากเกินกว่าจะบดบังดวงอาทิตย์ได้ทั้งหมด

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวัติยูโด

ประวัติยูโด

ยูโด (Judo) เป็นศิลปะการป้องกันตัวประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ปัจจุบันมีผู้นิยมฝึกหัดเล่นกันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ยูโดเป็นรูปแบบของการป้องกันตัว เป็นศิลปะส่วนหนึ่งของชาวญี่ปุ่นที่มีการดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัย นอกจากจะเป็นการฝึกเพื่อป้องกันตัวเองแล้วยังเป็นการบริหารร่างกายเพื่อให้เกิดความแข็งแรง ฝึกสมาธิให้มั่นคง ผู้ฝึกจะได้รับประโยชน์ทั้งด้านร่างกาย และสมาธิด้านจิตใจอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจู่โจมคู่ต่อสู้ หรือการตั้งรับ

ยูโดมีชื่อเต็มว่า โคโดกัน ยูโด (Kodokan Judo) เดิมทีเดียวเรียกกันว่า ยูยิตสู (Jiujitsu) ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธด้วยมือเปล่าและเป็นการทำลายจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ ในประเทศญี่ปุ่นมีการเล่นยูยิตสูกันอย่างแพร่หลายมากญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าตนเองมีเชื้อสายมาจากเทพยดา เทพธิดา และเชื่อว่าตนเองเป็นลูกพระอาทิตย์ มีถิ่นที่อยู่บนเกาะใหญ่น้อยทั้งหลาย ราวๆ 3,000-4,000 เกาะ จากการที่อยู่อาศัยบนเกาะต่างๆ นี้เองจึงมีความคิดเห็นไม่ตรงกันและไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้ ทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ ผู้ที่ได้รับชัยชนะก็พยายามซ่องสุมเสริมสร้างกำลังพลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผู้ที่พ่ายแพ้ก็พยายามที่จะรวบรวมสมัครพรรคพวกที่พ่ายแพ้ขึ้นใหม่เพื่อรอจังหวะช่วงชิงอำนาจกลับคืนมา
หลังจากที่ญี่ปุ่นได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการต่อสู้ และทำให้วิชายูยิตสูเสื่อมความนิยมลงจนหมดนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2403 ได้มีชาวญี่ปุ่นชื่อ จิโกโร คาโน (Jigoro Kano) ชาวเมืองชิโรโกะ ได้อพยพครอบครัวมาอยู่ในกรุงโตเกียว เมื่อปี พ.ศ. 2414 อายุ 18 ปี ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ในสาขาปรัชญาศาสตร์ (Philosophy) จนสำเร็จการศึกษา เมื่ออายุ 23 ปี ท่านจิโกโร คาโน เป็นบุคคลที่มีความเห็นว่าวิชายูยิตสูนอกจากจะเป็นกีฬาสำหรับร่างกายและจิตใจแล้ว ยังมีหลักปรัชญาที่ว่าด้วยหลักแห่งความเป็นจริง อีกทั้งท่านเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กผอมบาง มีนิสัยไม่เกรงกลัวใคร
เมื่อได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิชายูยิตสูอย่างละเอียด ก็พบว่าผู้ฝึกวิชายูยิตสูจนมีความชำนาญดีแล้ว จะสามารถสู้กับคนที่รูปร่างใหญ่โตได้ หรือสู้กับความที่มีอาวุธด้วยมือเปล่าได้ จากการค้นพบทำให้บังเกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า ท่านจึงได้เข้าศึกษายูยิตสูอย่างจริงจังจากอาจารย์ผู้สอนวิชายูยิตสูหลายท่านจากโรงเรียนเทนจิ ซิโย (Tenjin Shinyo) และโรงเรียนคิโต (Kito)
ปี พ.ศ. 2425 ท่านจิโกโร คาโน อายุได้ 29 ปี ได้ก่อตั้งโรงเรียนสำหรับวิชายูโดขึ้นเป็นครั้งแรกในบริเวณวัดพุทธศาสนา ชื่อวัดอิโชจิ (Eishoji) โดยตั้งชื่อสถาบันนี้ว่า โคโดกัน ยูโด โดยได้นำเอาศิลปะของการต่อสู้ด้วยการทุ่มจากสำนักเทนจิ ซิโย และการต่อสู้จากสำนักคิโตเข้ามาผสมผสานเป็นวิชายูโดและได้ปรับปรุงวิธีการยูโดให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเปลี่ยแปลงในระบอบการปกครองและสังคมในขณะนั้น ได้สอดแทรกวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ คณิตศาสตร์ประยุกต์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว จิตศาสตร์ และจริยศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยได้ตัดทอนยูยิตสู ซึ่งไม่เหมาะสมออก แล้วพยายามรวบรวมวิชายูยิตสูให้เป็นหมวดหมู่มีมาตรฐานเดียวกันตามความคิดของท่าน และได้ตั้งระบบใหม่เรียกว่า ยูโด (Judo)
ในเริ่มแรก ท่านจิโกโร คาโน ต้องต่อสู้กับอุปสรรคจากบุคคลหลายๆ ฝ่ายเพื่อให้เกิดการยอมรับในวิชายูโด โดยเฉพาะจากบุคคลที่นิยมอารยธรรมตะวันตกบุคคลพวกนี้ไม่ยอมรับว่ายูโดเป็นสิ่งที่เกิดใหม่ และดีกว่ายูยิตสู ในปี พ.ศ. 2429 กรมตำรวจญี่ปุ่นได้จัดการแข่งขันระหว่างยูโดกับยูยิตสูขึ้น โดยแบ่งเป็นฝ่ายละ 15 คน ผลการแข่งขันปรากฏว่ายูโดชนะ 13 คน เสมอ 2 คน เมื่อผลปรากฏเช่นนี้ ทำให้ประชาชนเริ่มสนใจยูโดมากขึ้น ทำให้สถานที่สอนเดิมคับแคบจึงต้องมีการขยายห้องเรียน เพื่อต้อนรับผู้ที่สนใจ จนปี พ.ศ. 2476 จึงได้ย้ายสถานที่ฝึกไปที่ซูอิโดบาชิ (Suidobashi) และสถานที่นี้เองที่เป็นศูนย์กลางของนักยูโดในโลกปัจจุบันยูโดดำเนินการไปด้วยดีและเริ่มมีมาตรฐานอันสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2465 ได้ตั้ง The Kodokun Cultural Xociety ขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2455 ได้ก่อตั้งสหพันธ์ยูโดระหว่างประเทศขึ้น โดยมีประเทศต่างๆ ที่ร่วมก่อตั้งครั้งแรกประมาณ 20 ประเทศ
ในปี พ.ศ. 2499 สหพันธ์ยูโดระหว่างชาติได้จัดให้มีการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศยูโดระหว่างชาติขึ้น โดยอยู่ในการอำนวยการของสหพันธ์ยูโดระหว่างประเทศโดโดกัน และหนังสือพิมพ์อาซาอิซัมบุน ซึ่งทั้ง 2 องค์กรช่วยกันจัดการแข่งขันขึ้นมา

พื้นที่แข่งขัน

พื้นที่แข่งขันจะต้องมีเนื้อที่อย่างน้อย 14 x 14 เมตร และอย่างมากที่สุด 16 x 16 เมตร โดยจะปูด้วยตาตามิ หรือวัสดุอื่นที่ได้รับการรับรอง โดยทั่ว ๆ ไปจะเป็นสีเขียว
พื้นที่แข่งขันจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เส้นแบ่งเขตทั้งสองนี้จะเรียกว่าเขตอันตราย จะมีสีที่เห็นได้ชัด โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะเป็นสีแดง กว้างประมาณ 1 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่แข่งขัน หรือจะใช้เส้นทาบติดเป็นสี่เหลี่ยมรอบบริเวณแข่งขันก็ได้
พื้นที่ภายในรวมทั้งเขตอันตรายจะเรียกว่า บริเวณแข่งขัน และมีบริเวณอย่างน้อย 9 x 9 เมตร หรืออย่างมาก 10 x 10 เมตร บริเวณนอกเขตอันตรายจะเรียกว่าบริเวณปลอดภัย และจะมีความกว้างประมาณ 3 เมตร (แต่จะต้องไม่น้อยกว่า 2.5 เมตร)
เทปเหนียวสีแดงและสีขาว กว้างประมาณ 6 เซนติเมตร และยาว 25 เซนติเมตร จะต้องติดตรงกลางบริเวณที่แข่งขันในระยะห่างกัน 4 เมตร เพื่อเป็นที่ชี้แสดงให้ผู้เข้าแข่งขันทราบในการเริ่มและจบการแข่งขัน เทปสีแดงจะอยู่ข้างขวาของกรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที และเทปสีขาวจะอยู่ข้างซ้ายของผู้ชี้ขาดบนเวทีบริเวณที่แข่งขันจะต้องอยู่บนพื้นที่ยืดหยุ่นได้หรือยกพื้น
เมื่อบริเวณที่แข่งขันสองบริเวณหรือมากกว่าใช้ติดต่อกัน อนุญาตให้ใช้บริเวณปลอดภัยติดต่อกันได้ แต่ต้องมีระยะ 3 เมตรเป็นอย่างน้อยมีบริเวณว่างรอบบริเวณที่แข่งขันทั้งหมดอย่างน้อยอีก 50 เซนติเมตร

เครื่องจับเวลาและป้ายคะแนน

นาฬิกาต้องตั้งไว้ให้นายช่างที่รับผิดชอบเข้าตรวจสอบความเที่ยงตรงได้ตลอดเวลา เช่น เวลาเริ่มและเวลาแข่งขัน ป้ายคะแนนต้องเป็นป้ายที่มีขนาดตามที่สหพันธ์นานาชาติกำหนดไว้ และพร้อมที่จะใช้งานตามที่ผู้ตัดสินต้องการได้ทันที ซึ่งป้ายคะแนนและเครื่องจับเวลาต้องใช้พร้อมกันกับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เกิดขัดข้อง


เครื่องแบบยูโด (ยูโดกี)

ผู้เข้าแข่งขันจะต้องสวมเครื่องแบบยูโด (ยูโดกี) ตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
1. ทำด้วยผ้าฝ่ายที่แข็งแรงหรือวัสดุที่คล้ายคลึงกัน และอยู่ในสภาพที่ดี (ไม่มีปริหรือขาด)
2. สีขาวหรือขาวหม่น
3. เครื่องหมายที่มีได้ คือ
4. เสื้อต้องยาวคลุมต้นขา และจะต้องไม่สั้นกว่ามือกำเมื่อยืดลงด้ายข้างลำตัวเต็มที่ ตัวเสื้อต้องกว้างพอที่จะดึงสองด้านให้ทับกันได้ไม่น้อยกว่า 20 เซนติเมตรจากซี่โครงด้านหน้า แขนเสื้อต้องยาวถึงข้อมือหรือสูงกว่าข้อมือไม่เกิน 5 เซนติเมตร เป็นอย่างน้อย และให้มีช่องว่างกว้าง 10 – 15 เซนติเมตรตลอดแขนเสื้อ (รวมทั้งผ้าพัน)
5. กางเกงไม่มีเครื่องหมายใด ๆ ต้องยาวคลุมขาทั้งหมด และยาวอย่างมากถึงตาตุ่ม หรือสูงขึ้นจากตาตุ่มได้ 5 เซนติเมตรเป็นอย่างน้อย และให้มีช่องว่างที่ขากางเกงได้ 10 – 15 เซนติเมตร (รวมทั้งผ้าพัน) ตลอดขากางเกง
6. เข็มขัดที่แข็งแรง กว้าง 4 – 5 เซนติเมตร มีสีตรงตามวุฒิของผู้เข้าแข่งขันคาดบนเสื้อระดับเอว และผูกเป็นปมสี่เหลี่ยม แน่นพอที่จะไม่ให้เสื้อหลวมเกินไป และยาวพอที่จะพันเอวได้สองรอบ โดยมีปลายสองข้างเลยออกมาข้างละ 20 ถึง 30 เซนติเมตรเมื่อผูกแล้ว
7. ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นหญิงจะต้องสวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีขาวหรือขาวหม่น ชั้นในมีความทนทานและยาวพอที่จะยัดใส่ในกางเกงได้

ผู้ติดตาม