ตัวเคลื่อนไหว

JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

10 ประการ เพื่อเร่งการเผาผลาญอาหาร

10 ประการ เพื่อเร่งการเผาผลาญอาหาร
แซน วูดเวอร์ด ผู้มีบทความทางวิชาการเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย รวมทั้งยังทำงานให้กับองค์กรเพื่อสุขภาพไม่หวังผลกำไรอย่างอเมซอน โพรมิสและเป็นนักเขียนประจำอยู่ในหนังสือพิมพ์ลอส แอนเจลิส ไทม์ได้แนะนำว่า ไม่ว่าคุณจะพยายามลดน้ำหนักหรือแค่ปรับตัวให้พร้อมรับมือ กับการทำงานของระบบการเผาผลาญที่ช้าลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ต่อไปนี้ล่ะคือวิธีที่ได้ผลแน่นอนในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบนี้ และช่วยให้มีร่างกายสมส่วน
1. พยายามสร้างมวลกล้ามเนื้อ ดังเช่นที่กล่าวไว้แล้วเมื่อตอนต้น ว่าระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ประมาณว่ามันจะทำงานช้าลงปีละ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณทำได้เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ ชารี ลีเบอร์แมน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Dare to Lose ให้ความเห็นว่า "กล้ามเนื้อนี่แหละคือตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดถึงระบบเผาผลาญพลังงานจากอาหาร ที่คุณกินเข้าไป ชี้ให้เห็นด้วยว่าคุณเผาแคลอรี่และเผาไขมันไปได้มากน้อยแค่ไหน" เธอยังแนะนำด้วยว่าถ้าคุณต้องการจะเร่งกระบวนการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะยกดัมบ์เบลหรือดึงแถบยางต้านแรงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง เพียงเท่านี้มันก็ช่วยได้มากเลยในการเร่งกระบวนการเผาผลาญ และข่าวดีก็คือระบบเผาผลาญของคุณที่ดีขึ้นนี้ จะยังคงทำงานหนักไปได้อีกหลายชั่วโมงทีเดียว ภายหลังจากออกกำลังมาแล้ว
2. เคลื่อนไหวอยู่เสมอ ถ้าบอกว่าต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ใครๆก็รู้ แต่ก็ต้องย้ำกันไว้สักหน่อยล่ะว่าคุณควรจะเคลื่อนไหวแบบไม่ธรรมดา ด้วยการหาเวลาให้ได้สัก 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง เพื่อมาเดินเร็วๆ, วิ่งจ็อกกิ้ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำหรือออกกำลังกายแบบแอโรบิกบางอย่าง ให้ได้ความถี่อาทิตย์ละ 3 ถึง 4 ครั้ง เรื่องนี้ลีเบอร์แมนคนเดิมบอกว่า "ใครๆต่างก็ไม่ชอบทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่มันก็จำเป็นต้องทำค่ะ"
3. กินเป็นปกติ อย่าได้อดอาหารเป็นอันขาด ลดน้ำหนักได้แต่อย่าอดอาหาร ฟังดูอาจจะเพี้ยน ๆ หน่อยสำหรับใครก็ตามที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการกินให้น้อยๆเข้าไว้ แต่ความคิดแบบเก่า ๆ นี้กลับเป็นปัญหา ตรงที่ว่ามันกลับไปทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ช้าลง ตามคำอธิบายของจูลี เบเยอร์ นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งกล่าวว่า"ทุกๆเซลในร่างกายเราก็ไม่ ต่างอะไรจากหลอดไฟ เมื่อเรากินอาหารไม่เพียงพอ หรือเปรียบกับได้รับเชื้อเพลิงน้อย เซลหรือไส้หลอดก็จะไม่เผาไหม้สว่างไสว ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆห่างกัน สามถึงสี่ชั่วโมงต่อมื้อ ก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย
4. ละเว้นน้ำตาล แน่ล่ะ แม้จะไม่มีน้ำตาล คุณก็ยังเลือกกินอาหารอร่อยๆได้ "เพราะเมื่อใดที่คุณกินน้ำตาลเข้าไป นั่นคือระบบการเผาผลาญจะถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบเก็บกักไขมันอย่างรวดเร็ว" ตามที่ลีเบอร์แมนพูด ในเมื่อเธอเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องการบริโภคอาหารน้ำตาลต่ำ ด้วยหลักความคิดว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปตามปกตินี้ แม้ไม่มีน้ำตาล มันก็แตกตัวออกเพื่อช่วยรักษาระดับนำตาลในเลือดอยู่แล้ว
5. ไม่อดอาหารเช้า เป็นความจริงที่ไม่ค่อยจะมีใครคำนึงถึงเท่าไหร่เลยว่า คนที่กินอาหารเช้าที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำมักจะสะโอดสะองกว่าพวกที่ไม่กิน ลองคิดแบบนอกกะลากันดูหน่อยเป็นไร ถ้าหากคุณจะกินอาหารเช้าที่เป็นสลัดผักหรือว่าข้าวซ้อมมือ อาหารแบบนี้แหละที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ดีนัก ทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารประเภทอื่นด้วย
6. กินเผ็ดเข้าไว้ คงไม่ต้องถึงกับควันออกหู แต่ถ้าคุณชอบอาหารไทยอยู่แล้วก็ย่อมถือว่าเดินมาถูกทาง แม้แต่ลีเบอร์แมนเองก็ยังพูดเลยว่า"อาหารเผ็ดๆนี่แหละ ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญดีนัก" ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูเถอะว่าใครบ้างในวงข้าวของคุณ ที่กินเผ็ดแล้วเหงื่อแตกพลั่กๆ นั่นแหละกระบวนการเผาผลาญของเขากำลังทำงานอย่างหนักอยู่
7. ดื่มชาเขียว มิแชลล์ สเตรฟ ผู้ฝึกซ้อมกีฬาจากเนบราสกาให้ความเห็นว่า"มีวิธีค่อนข้างทำลายสุขภาพตั้ง หลายอย่างที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ อย่างการดื่มกาแฟแก่ๆสักแก้ว หรือการรับนิโคตินเข้าร่างกาย แต่ดิฉันไม่ได้บอกว่าคุณต้องสูบบุหรี่นะ" แต่ลีเบอร์แมนเองก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจในเรื่องนี้เช่นกันว่า แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมากๆแล้วต้องพบกับผลข้างเคียงค่อนข้าง อันตราย ก็น่าจะใช้ชาเขียวร้อนแทน ซึ่งชาเขียวที่ว่านี้จะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้นานกว่าและมีประสิทธิภาพ มากกว่ากาแฟเสียอีก
8. อย่าลืมดื่มน้ำ อย่าได้ละเลยการดื่มน้ำเป็นอันขาด การดื่มน้ำอยู่เป็นประจำนี้สำคัญมากกับการขับของเสียออกจากร่างกายในระหว่าง การเผาผลาญไขมัน แม้น้ำเย็นก็ยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เล็กน้อย เนื่องจากร่างกายจะใช้ความร้อนมาเพื่อทำให้อบอุ่นขึ้น แล้วมันจะมาจากไหนล่ะถ้าไม่ใช่ระบบการเผาผลาญแล้วได้ความร้อนเป็นผลพลอยได้
9. หลีกเลี่ยงความเครียด จงอยู่ให้ห่างความเครียดให้มากที่สุด ตามที่ลีเบอร์แมนพูดคือ"เพราะความเครียดสามารถเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้ โดยเฉพาะไขมันตรงหน้าท้อง" ทำไมคุณลีเบอร์แมนถึงพูดเช่นนั้น ก็เพราะทั้งความเครียดทางกายและจิตใจมันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารคอร์ ติโซลออกมาน่ะสิ และเพราะเจ้าคอร์ติโซลนี่มันมีอำนาจชลอกระบวนการเผาผลาญให้ช้าลงด้วย เราจึงควรทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่เครียดหรือเครียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
10. นอนหลับมาก ๆ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำวิจัยมาแล้วหลายครั้งในหมู่ผู้นอนหลับ พบว่าใครก็ตามที่นอนน้อยกว่าวันละเจ็ดหรือแปดชั่วโมงจะมีโอกาสน้ำหนักขึ้น ได้มาก ยิ่งกว่านั้นเราก็รู้ด้วยว่ากล้ามเนื้อจะถูกเสริมสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยในช่วง ชั่วโมงท้ายของการนอนก่อนจะตื่น ตามคำกล่าวอ้างของเบเยอร์ ถ้าจะทำตามข้อแนะนำข้อที่ 1 ไปพร้อมๆกับข้อนี้ด้วย ก็จะช่วยได้มากในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การดัดฟันอาจทำให้ตายได้


เรียนเกิดอาการติดเชื้อ หลังจากการจัดฟันแฟชั่นที่ร้านจัดฟันแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จนเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยระบุผลจากการตรวจสอบพบว่า ร้านจัดฟันแฟชั่นเหล่านี้ ผู้ที่ให้บริการมิใช่ทันตแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ด้านนี้โดยเฉพาะ ที่สำคัญวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ยังไม่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นลวดที่ใช้ในการดัดฟัน ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลวดสแตนเลส หรือเป็นลวดที่ร้อยดอกไม้ และบางร้านมีการใส่ลูกปัดหลากสี พลาสติกยาง หรือกากเพชรด้วย ทั้งนี้ จากการที่ อย. ได้ตรวจสอบแล้วปรากฏพบว่า มีสารปนเปื้อนหลายชนิด อย่างเช่น ตะกั่ว พลวง ซิลิเนียม โครเมียม สารหนู และอื่นๆ หากสารเหล่านี้สะสมในร่างกายในปริมาณมาก จะก่อให้เกิดผลต่อไต ทำให้ไตวายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และบางรายหากมีโรคแทรกซ้อน ยิ่งทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ง่ายขึ้น
รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ถึงแม้ลวดดัดฟันแฟชั่นที่เปิดให้บริการและขายอยู่ตามท้องตลาดไม่ได้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ แต่ทั้งผู้ขายและผู้ให้บริการ ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะถ้าเกิดมีอันตรายต่อผู้ที่มาดัดฟัน จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที นอกจากนี้ อย.จะนำปัญหาดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเครื่องมือแพทย์ เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมว่า ลวดดัดฟันแฟชั่นนี้ ควรที่จะจัดเป็นเครื่องมือแพทย์หรือไม่ ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ให้มีคำสั่งเกี่ยวกับการห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่นเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลต่อไปอีก

นายแพทย์พงศ์พันธ์ กล่าวด้วยว่า หากจำเป็นต้องรับบริการทางการจัดฟัน ควรปรึกษาโดยตรงกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมจัดฟันที่โรงพยาบาล หรือคลินิกที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับทันตแพทย์ที่ทำการรักษาได้ในเว็บไซต์ของสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งประเทศไทย เพราะการใส่ลวดดัดฟันโดยไม่มีทันตแพทย์แนะนำวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือผลเสียด้านสุขอนามัยของฟัน หรืออวัยวะในช่องปากตามมาอีก ประกอบกับลวดที่เป็นอุปกรณ์ยึดเกาะกับฟันเป็นลวดที่ไม่แข็งแรงเพียงพอ มีโอกาสหลุดลงคอ และทำอันตรายแก่ผู้สวมลวดดัดฟันจนถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้หากพบลวดดัดฟันแฟชั่นที่อาจผิดกฎหมาย โปรดแจ้งร้องเรียนมายัง สายด่วน อย. โทร. 1556 เพื่อ อย.จะได้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาบน้ำอุ่นให้สบายผิวไม่เสีย


ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวันอากาศก็ค่อนข้างเย็น เวลาจะอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายแต่ละครั้ง หลายๆ คนก็เลยเลือกที่จะอาบน้ำอุ่นแทน แต่ ทราบกันรึเปล่าคะว่า ถ้าหากอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ จะมีผลทำให้ผิวแห้งได้นะคะ

อ้าว! แล้วแบบนี้จะทำยังไงดีล่ะคะเนี่ย … ไม่เป็นไรค่ะ เพราะวันนี้เคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้น้องๆ สามารถอาบน้ำอุ่นได้โดยผิวไม่แห้งเสียค่ะ


จริงแล้วการอาบน้ำอุ่นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย น้ำอุ่นๆ ที่ใช้อาบเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแห้งและเกิดผื่นได้ เพราะน้ำอุ่นจะทำให้ผิวขับไขมันออกมามากขึ้น ทำให้ผิวบางคนที่แห้งอยู่แล้ว จะแห้งยิ่งขึ้น ถ้าไม่อยากอาบน้ำเย็นช่วงนี้ล่ะก็ ขอแนะนำให้ปรับน้ำอย่าให้อุ่นจนเกินไป เอาแบบไม่เย็นไม่ร้อนดีกว่า

สำหรับคนที่ผิวแห้ง หลังจากที่อาบน้ำอุ่นแล้วผิวจะแห้งมากยิ่งกว่าเดิม แต่ก็สามารถช่วยได้ด้วยการทามอยเจอร์ไรเซอร์ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว 3 นาที แต่ถ้านำน้ำอุ่นมาล้างหน้า ก็จะช่วยเปิดรูขุมขนเหมาะที่จะกำจัดสิวเสี้ยน เพียงน้ำผ้าขนหนูมาถูเบาๆ สิวเสี้ยนก็จะหลุดออก

แต่ถ้าหากอาบน้ำอุ่นแล้ว ทำให้ผิวแห้งก็อาจจะเปลี่ยนมาดื่มน้ำอุ่นแทน เป็นการบำรุงผิวภายในสู่ภายนอก และยังช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ถ้าดื่มตอนเช้าหลังจากตื่นนอน ก็จะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกในลำไส้ และขับเหงื่อได้ดี ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งได้นะคะ

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เตือนภัย : เชื้อโรคจากโทรศัพท์สาธารณะ

'เชื้อโรคในที่สาธารณะ' ถือเป็นหนึ่งอันตรายใกล้ตัวที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป ไม่ว่าจะด้วยความเคยชินหรือเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ก็มีหลายคนที่มีอาการเจ็บป่วยจากโรคติดต่อ เช่น ไข้หวัด , ตาแดง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าการได้รับเชื้อโรคเหล่านี้ก็เกิดมาจากการใช้ของสาธารณะนั้นเอง
ยกตัวอย่างที่เห็นกันอย่างชัดเจนคือ การใช้โทรศัพท์สาธารณะ …
การใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะนั้นมีโอกาสเสี่ยงติดได้รับเชื้อโรคหลายอย่าง ซึ่งเราสามารถติดติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรง เช่น

• เชื้อไข้หวัดทั้งหลาย เป็นเชื้อไวรัส ซึ่งถ้ามีน้ำมูกแล้วน้ำมูกไปติดอยู่ที่ตัวเครื่องรับโทรศัพท์หรือบริเวณรอบ ๆ ตู้โทรศัพท์ หากเชื้อเหล่านี้ยังมีชีวิตรอดอยู่หลายชั่วโมง และผู้ใช้โทรศัพท์เหล่านั้นไปสัมผัสจับต้องสารคัดหลั่งดังกล่าว แล้วนำมาป้ายถูกจมูกก็มีโอกาสติดเชื้อได้
• วัณโรค ซึ่งตามทฤษฏีแล้วจะไม่ติดจากการสัมผัสในการใช้โทรศัพท์ จะเกิดการติดเชื้อได้จากการไอ จาม ซึ่งจะได้รับเชื้อโดยการสูดหายใจเข้าไปโดยตรง
• เชื้อเริม ติดต่อจากการสัมผัสโดยตรง ซึ่งถ้าผู้ป่วยเริมมีแผลอยู่แล้วไปใช้โทรศัพท์ เมื่อคนที่มาใช้โทรศัพท์คนต่อไปไปจับต้องเชื้อไวรัส แล้วใช้มือขยี้ตาหรือป้ายถูกปาก ถูกน้ำลาย ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเหล่านั้นได้

• หูด เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรง เพราะฉะนั้นผู้ใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะก็จะมีโอกาสติดเชื้อนี้ได้
• โรคแอนแทร็กซ์ เป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ง่าย ซึ่งเคยมีข่าวว่าคนอเมริกันได้รับจดหมายแล้วสัมผัสเอาสปอร์ของเชื้อโรคแล้วเป็นโรคนั้นได้ ถ้าได้ไปสัมผัสโดยตรงหรือสูดหายใจเอาสปอร์ที่อยู่บริเวณนั้นเข้าไปก็มีอาการเป็นโรคได้ง่าย
สำหรับโอกาสในการรับเชื้อโรคดังกล่าวนั้น อย่างไรก็ตามโอกาสในการติดเชื้อจากการใช้บริการของโทรศัพท์สาธารณะนั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อว่ามีปริมาณมากหรือน้อย และเชื้อดังกล่าวที่อยู่ในบริเวณนั้นตายไปหรือยัง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีรายงานที่แน่นนอนว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อจากการใช้โทรศัพท์สาธารณะจำนวนเท่าใด ส่วนใหญ่ถ้าเป็นไข้หวัดก็จะติดจากบุคคลอื่นที่เป็นหวัดอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะติดจากเพื่อน จากบุคคลใกล้ตัวหรือโรงภาพยนตร์ที่มีผู้คนแออัด

ส่วนวิธีป้องกันก็สามารถทำได้โดย

- ระหว่างการใช้โทรศัพท์อย่าใช้มือป้ายตา ป้ายปาก ป้ายจมูก
- ระวัง ไม่นำกระบอกโทรศัพท์มาแนบปากจนเกินไป
- ให้รีบล้างมือทันทีหลังจากใช้โทรศัพท์แล้ว เพราะเชื้อเมื่อออกมาจากตัวผู้ป่วยแล้วยังอยู่ได้หลายเชื้อโมงหรือเป็นวัน

ทำไมเครื่องบินในประเทศไทยถึงใช้คำว่า HS



ทำไมเครื่องบินในประเทศไทยถึงใช้คำว่า “HS” ล่ะ วันก่อนอ่านเจอสาระดีๆ จึงเอามาบอกกล่าวให้ รู้ด้วยจ้า น่าสนใจดีนะ
เคย สังเกตกันบ้างไหมว่าเครื่องบินในประเทศไทยได้ใช้สัญลักษณ์การลงทะเบียน อากาศยานที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่ขึ้นต้นด้วย HS หรือที่เรียกกันว่า Hotel Sierra กันนั้น มีประวัติมาจากหนใดกัน


ประเทศที่ขอ Prefix ได้ในช่วงเวลาใกล้ๆกับประเทศไทย ก็มักจะเลือกสัญญาณเรียกขานที่บ่งถึงประเทศตัวเอง เช่น ญี่ปุ่น หรือ JAPAN ได้ JA ส่วน Germany ซึ่งเรียกตัวเองว่า ดอยช์แลนด์ ก็ได้ DL แล้วคำว่า HS ที่นำหน้าสถานีของประเทศไทยนั้นหมายความว่าอย่างไร


ท่านอาจารย์อุดม จะโนภาษเขียนไว้ว่า "เรื่องนี้ พระวรวงค์เธอพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ไชยากรณ์ ซึ่งเป็นโอรสของเสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นยังมีอักษรอื่นก่อนตัว HS ที่ทรงเลือกอักษร HS เพราะจะให้มีความหมายว่า "His Majesty The King Of SIAM " ในสมัยนั้นประเทศไทยยังเรียกว่า SIAM อยู่ เวลาเรียกขานทางวิทยุทีหนึ่งก็จะได้เป็นการถวายความเคารพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยจึงมีสัญญาณเรียกขาน ว่า HS ตั้งแต่บัดนั้นมา สถานีโทรทัศน์ เช่น สถานีโทรทัศน์กองทัพบก มีสัญญาณเรียกขานทางวิทยุว่า HSATV ฯลฯ"

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ที่มาของ "สัญญาณไฟจราจร"



เท่าที่มีการจดบันทึกทางประวัติศาสตร์เอาไว้ ต้นกำเนิดไฟสัญญาณจราจรแห่งแรกบนโลกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1868 เกิดขึ้นก่อนที่คนเราจะรู้จักกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเสียอีก โดยมี เจ.พี. ไนต์ วิศวกรชาวอังกฤษเป็นเจ้าของผลงาน

วัตถุประสงค์แรกเริ่มที่ไนต์สร้างไฟสัญญาณจราจรขึ้นมาก็เพื่อใช้ควบคุมการสัญจรของรถม้า และคนเดินเท้าที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณสี่แยก ที่เริ่มจะพลุกพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคนั้น โดยสถานที่ที่ได้รับเกียรติให้ทำการติดตั้งผลงานชิ้นแรกของไนต์ก็คือ สี่แยกใจกลางมหานครลอนดอนบริเวณหน้ารัฐสภาอังกฤษ นั่นเอง

รูปลักษณ์ของไฟสัญญาณจราจรฝีมือไนต์นั้นออกจะดูแปลกตาไปเสียหน่อยหากเทียบกับปัจจุบัน เพราะมันจะมี 2 แขน เมื่อใดที่แขนทั้ง 2 ข้างของมันเคลื่อนตัวขนานกับพื้นดินหมายความว่า พาหนะที่กำลังสัญจรอยู่บริเวณสี่แยกจะต้องหยุดทันที ทว่า หากแขนทั้ง 2 ข้างของสัญญาณจราจรเคลื่อนตัวทำมุม 45 องศา จะหมายความว่า ให้ผู้ใช้พาหนะทุกชนิดใช้ถนนอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยในตอนกลางคืนจะมีไฟสีแดงและสีเขียวซึ่งได้จากพลังงานแก๊สบนแขนทั้ง 2 ข้างเป็นตัวให้สัญญาณเพื่อให้มองเห็นเด่นชัด โดยแสงสีแดงหมายถึง 'หยุด' ส่วนแสงสีเขียวหมายถึง 'ให้ระวัง'

ต่อมาวิวัฒนาการของไฟสัญญาณจราจรก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไฟเขียว-ไฟแดง แบบใช้พลังงานไฟฟ้าเริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกในเมือง ซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐฯ ช่วงปี 1912 โดย เลสเตอร์ ไวร์ พนักงานตำรวจชาวอเมริกันเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือของเขาเอง

ในช่วงแรกไฟสัญญาณจราจรที่ใชักันอยู่จะมีแค่ไฟเขียว และไฟแดง เท่านั้น จนกระทั่ง ในปี 1920 วิลเลียม พอตต์ ตำรวจจราจรแห่งดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ได้ออกแบบไฟสัญญาณจราจรรูปแบใหม่ขึ้น พร้อมกับเพิ่มไฟสีอำพัน (สีเหลือง) เข้าไปอีกหนึ่งสี เพื่อเป็นสัญญาณเตือนผู้ใช้พาหนะให้ระวัง และชะลอตัวก่อนที่จะหยุด หรือ ออกตัว

จากนั้นอีกไม่กี่ปีต่อมา ไฟสัญญาณจราจรแบบอัตโนมัติก็ถูกประดิษฐ์ขึ้น โดยเป็นฝีมือของ การ์แรตต์ มอร์แกน ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในเมืองเคลฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก

และทั้งหมดนี้ก็คือวิวัฒนาการของไฟสัญญาณจราจรที่ถูกพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ และมีใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน...

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"สุนัข" ฉลาดพอๆ กับเด็กอายุ 2 ขวบ


กรี๊ด!!สุนัขมีระดับสติปัญญาพอๆ กับเด็กอายุ 2 ขวบ อาจจะงงกันใช่ไหมจ๊ะมากรี๊ดเรื่องอะไร พอดีว่าพี่ปัดได้ไปอ่านข่าวในหนังสือข่าวสดมาจ้ะ ซึ่งเขาลงข่าวเกี่ยวกับผลวิจัยว่า.....
ศาสตราจารย์สแตนลีย์ โคเร็น แห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ได้เปิดเผยการวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบพัฒนาการทางภาษาและการเข้าใจในหลักการคณิตศาสตร์ของสุนัข ซึ่งผลการวิจัยออกมาว่า สุนัขพันธุ์ทั่วไปสามารถเรียนรู้และเข้าใจคำพูด สัญลักษณ์ต่างๆ ได้ประมาณ 165 ลักษณะ
แต่สำหรับสุนัขสายพันธุ์ที่มีความความแสนรู้จะเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าสุนัขทั่วไปถึง 250 ลักษณะ ซึ่งความฉลาดนี้จะใกล้เคียงกับเด็กอายุ 2 ขวบ โดย ศาสตราจารย์สแตนลีย์ โคเร็น กล่าวว่า "แน่นอนว่าผลวิจัยของผมไม่ได้บอกว่าเราจะนั่งคุยกับสุนัขรู้เรื่อง แต่ชี้ว่าสุนัขมีความสามารถในการรับรู้และสื่อสารกับเราผ่านการดูท่าทางและรับฟังคำสั่งคล้ายๆ กับเด็ก 2 ขวบ"

ซึ่งนอกจากผลการวิจัยแล้ว ยังมีการจัดอันดับสุนัข 5 สายพันธุ์ที่แสนรู้ที่สุดอีกด้วย โดยเริ่มจาก บอร์เดอร์ คอลลี่, พุดเดิ้ล, เยอรมันเชฟเฟิร์ด, โกลเด้นรีทริฟเวอร์ และโดเบอร์แมน พิ้นเชอร์ (เรียงจากมากไปหาน้อย)
เห็นไหมจ๊ะว่า สุนัขเป็นที่สัตว์ที่ฉลาด แสนรู้ เราสั่งอะไรมันก็ทำตาม เวลาเศร้าเสียใจมันก็จะเข้ามาคลอเคลียใกล้ๆ ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ เป็นสัตว์ที่น่ารักที่สุดเลย ว่าแต่ที่บ้านของน้องๆ เลี้ยงสุนัขกันกี่ตัวจ๊ะ และเป็นพันธุ์อะไรกันบ้าง

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

“กรุงริโอฯ” ได้รับเลือกให้จัดโอลิมปิก 2016


ประกาศผลออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ สำหรับเจ้าภาพจัดการแข่งขัน “โอลิมปิกฤดูร้อน ประจำปี 2016” ซึ่งครั้งนี้คณะกรรมการลงมติเลือก “กรุงริโอ เดอ จาเนโร” ของประเทศบราซิล ให้เป็นเมืองเจ้าภาพจัดการแข่งขันจ้ะ มาดูรายละเอียดจากไทยรัฐกันเลย

การประกาศผู้ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน “โอลิมปิกฤดูร้อน ประจำปี 2016” ถูกจัดที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี ซึ่งประเทศที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพอีก 7 ปีข้างหน้าก็คือ “กรุงริโอ เดอ จาเนโร”

ส่วนรายชื่อเมืองที่ส่งเข้ามาชิงในครั้งนี้ประกอบด้วย เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา , กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น , กรุงมาดริด ประเทศสเปน และกรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล โดยงานประกาศครั้งนี้ “ลูล่า หลุยส์ อิกนาซิโอ ลูลา ดาซิลวา” ประธานาธิบดีบราซิล ได้เดินทางมาร่วมงานด้วย และเมื่อทราบประเทศของเขาได้รับการคัดเลือก เขาก็ถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความดีใจออกมาเลยทีเดียว

ต้องขอแสดงความยินดีกับประเทศบราซิลด้วยนะจ๊ะ ที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ประจำปี 2016 และพี่ปัดหวังว่าสักวันหนึ่งประเทศไทยของเราจะได้มีโอกาสจัดการแข่งขันกีฬารายการนี้บ้างนะจ๊ะ เพราะเราจะได้โชว์ความทางด้านความคิดและการกีฬาให้คนทั่วโลกได้รู้จักว่าคนไทยก็เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ระวัง...อีเมลปลอม Update Microsoft



ไวรัสคอมพิวเตอร์ ยังคงเป็นภัยอันตรายต่อพวกเราชาวอินเตอร์เน็ตอย่างไม่รู้จบ ไม่ว่าเราจะหาหนทางวิธีใดๆเพื่อสู้กับมัน แต่ก็ดูเหมือนว่า มันกลับทำให้ ไวรัสคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนแปลงรูปแบบในการแพร่กระจายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหายไปจากโลกคอมพิวเตอร์เลย

อย่างข่าวล่าสุดที่พี่ปอได้รับแจ้งมาคือ ตอนนี้ผู้ไม่หวังดีได้ทำการปล่อยไวรัสรูปแบบใหม่ทางอีเมล โดยแฝงตัวว่าเป็นอีเมลแจ้งเตือนจากไมโครซอฟท์ ให้อัพเดทผลิตภัณฑ์ที่มีผู้ใช้จำนวนมาก...1 ในนั้น ได้แก่ อีเมลหลอกลวงให้อัพเดทโปรแกรม Outlook

โดยทางไมโครซอฟท์ได้เปิดเผยว่า ทางไมโครซอฟท์ไม่มีการแจ้งอัพเดตกับผู้ใช้ทาง"อีเมล" แต่ล่าสุดผู้ที่ไม่รู้ก็ยังคงตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี โดยใช้มุกนี้หลอกผู้ใช้ด้วยการส่งอีเมลที่มีหัวเรื่อง (Subject) ว่า "Critical Update for Microsoft Outlook..." ซึ่งรายละเอียดจะดูเหมือนส่งมาจากไมโครซอฟท์ แต่ความจริงมันมีลิงก์อันตรายซุกซ่อนอยู่ในเมล

ล่าสุดอีเมลฉบับดังกล่าวได้ถูกแพร่กระจายส่งไปยังผู้ใช้ทั่วอินเทอร์เน็ตแล้ว โดยในอีเมลจะมีลิงก์ข้อความว่า "Update for Microsoft Outlook/Outlook Express (KB910721) " ซึ่ง ดูแล้วมันมีความน่าเชื่อถือมากๆ แต่เมื่อผู้รับคลิกบนลิงก์ดังกล่าว มันจะพาเข้าไปยังเว็บไซต์อัพเดตปลอม เพื่อดาวน์โหลดโทรจันเข้าไปติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อแทน

รายงานดังกล่าวเปิดเผยโดย Trend Micro บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งพบว่า มีสแปมเมลที่อ้างว่า ส่งมาจากไมโครซอฟท์ เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้อัพเดตซอฟต์แวร์ที่มีข้อผิดพลาด โดยรายละเอียดปรากฎอยู่ในบล็อกของทางบริษัทฯ


โดยได้มีการเปิดเผยต่อไปว่า URL ที่ระบุว่า Critical update ในเว็บไซต์นั้นจะดาวน์โหลดมัลแวร์จากที่อื่น ไม่ได้เป็นการดาวน์โหลดจากไมโครซอฟท์ (สามารถตรวจสอบได้ โดยเลื่อนเมาส์ไปบนลิงก์ แล้วดูที่แถบสถานะที่อยู่บริเวณด้านล่างของบราวเซอร์)" ในบล็อกของ Trend Micro ระบุชัดเจนว่า URL ที่ผู้ใช้คลิกไปนั้นจะดาวน์โหลดไวรัสโทรจันที่มีลักษณะเป็นไฟล์ .bin สามารถอัพเดตตัวเอง และขโมยข้อมูลในเครื่องของเหยื่อส่งออกไปได้

ยังไง ก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะ อย่าหลงกลกับมุกหลอกลวงของผู้ไม่หวังดีนะ....ไม่อย่างนั้น คอมพิวเตอร์ของน้องๆ อาจจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไปก็เป็นได้

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คนกับสัตว์ มองเห็นต่างกันอย่างไร ?

เรื่องน่ารู้วันนี้เป็นเรื่อง ที่ใกล้ตาเรามาก แต่เรากลับไม่ค่อยรู้เรื่องนี้สักเท่าไร นั่นก็คือเรื่องของตานั่นเอง (ใกล้ตาไหมล่ะ) เป็นเรื่องน่ารู้ ที่พี่มิ้งนำมาจากเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ น่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ


เริ่มกันที่ดวงตาดวงแรกของโลกก่อน เกิดเมื่อประมาณ 540 ล้านปีที่แล้ว ในกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า


ดวงตาแบบแรกของโลก สามารถรับรู้ได้เพียงความสว่างและความมืดเท่านั้น ซึ่งตาแบบ "อาย สปอต" (eye spot) ของพานาเลีย ก็จัดว่าเป็นแบบเดียวกับตาดวงแรกของโลก ตาแบบ "อาย สปอต" ในยุคเริ่มแรกเริ่มมีลักษณะเป็นแบบแผ่น และค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นแบบถ้วย ต่อมาจึงมีการพัฒนาเลนส์ตาขึ้น เพื่อให้รับภาพได้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนกลายเป็นรูปแบบของดวงตาที่มองเห็นภาพและสีสันได้ชัดเจนอย่างในปัจจุบัน
ทีนี้ลองมาดูดวงตาของสัตว์ต่างๆ บ้าง ว่ามีลักษณะพิเศษ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง


งูดวงตางูเป็นดวงตาไร้เปลือก จึงหลับตาไม่ได้ ซึ่งดวงตาที่เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลาของงูนั้นมีเกล็ดใสครอบอยู่เพื่อปกป้องดวงตาเวลาที่เลื้อยลงไปใต้ดิน ขณะที่งูจำพวกงูเขียวหางไหม้ และงูเหลือม มีโครงสร้างรับสัมผัสที่เรียกว่า พิต ออร์แกน (Pit organ) อยู่ระหว่างดวงตากับจมูกช่วยเสริมการมองเห็น โดยรับสัมผัสคลื่นความร้อนจากตัวเหยื่อ ทำให้งูเชื่อมโยงการมองเห็นภาพด้วยดวงตา และความร้อนเข้าด้วยกัน จึงล่าเหยื่อได้ดีแม้ในยามกลางคืน


ตาแมงมุม เป็นสัตว์ที่มีตาเยอะมาก แมงมุมกระโดดมีตาทั้งหมด 8 ดวง เพื่อช่วยในการล่าเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม ตารองด้านข้างและด้านบนของหัวช่วยหาตำแหน่งของเหยื่อได้ไวแม้ให้ภาพไม่ชัดเจนนัก เมื่อพบตำแหน่งเหยื่อแล้วจะใช้ตาหลักที่อยู่ด้านหน้าแยกแยะรายละเอียดเพื่อระบุตำแหน่งที่แน่ชัดอีกครั้งก่อนจู่โจม โดยมีตารองอีกชุดที่อยู่ใกล้กับตาหลักช่วยกะระยะได้อย่างแม่นยำ โห จะแม่นไปไหมเนี่ย


ตานกแสก, นกเค้าแมว มีดวงตา กระจกตา และรูม่านตาขนาดใหญ่ มีเซลล์รับแสงจำนวนมาก เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นได้ดีในที่มืด จึงรับรู้ได้ไวต่อการเคลื่อนไหวแต่ไม่ไหวต่อสี


ตาของนก นกเกือบทุกชนิดมีหนังตาแผ่นที่ 3 ที่เป็นเยื่อบางๆ คลุมดวงตาของนกไว้ ซึ่งคอยทำความสะอาดดวงตา และปกป้องดวงตาจากลมและแสงแดดในขณะบินโต้ลมแรง ส่วนนกที่ต้องดำน้ำหาอาหาร หนังตานี้จะช่วยกันน้ำได้ หนังตาพิเศษนี้จึงเปรียบเสมือนแว่นกันแดด แว่นกันลมและแว่นตาดำน้ำของนกเลยล่ะ



ตาวาฬและโลมา จะมีเยื่อหุ้มตาขาวหนา และมีกระจกตาหนา มีกล้ามเนื้อตามาก ช่วยปกป้องดวงตาเมื่ออยู่ใต้น้ำและน้ำเย็น เลนส์ตาเป็นทรงกลม ทำให้มองเห็นภาพใต้น้ำลึกที่มีแสงน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


หมึกยักษ์ นอกจากความฉลาดแล้ว ยังมีดวงตาที่ดีอีกต่างหาก หมึกยักษ์เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีดวงตาพัฒนาสูงสุดในกลุ่มสัตว์น้ำ แต่ใกล้เคียงกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยในทะเล มีปมประสาทตาขนาดใหญ่ ดวงตาไวต่อแสงมากกว่ามนุษย์ 5 เท่า มองเห็นได้ดีในที่มืดอย่างใต้ทะเลลึกที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง และสามารถปรับโฟกัสของดวงตาได้


แมลงปอ ดวงตาในดวงตาดวงตาของแมลงปอ มีขนาดใหญ่มากถึง 2 ใน 3 ของส่วนหัว เป็นตารวม 1 คู่ ประกอบด้วยเลนส์รูปหกเหลี่ยมขนาดเล็กจำนนหลายพันเลนส์เรียงต่อกันคล้ายรังผึ้ง คล้ายกับมีดวงตาขนาดเล็กจำนวนมากมารวมกันเป็นตาใหญ่ดวงเดียว แมลงปอจึงมองเป็นภาพจากเลนส์แต่ละส่วนมาประกอบเป็นภาพเดียวกัน คล้ายภาพจิ๊กซอหรือภาพโมเสก


เหยี่ยว สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่า สายตาเฉียบคมมาก เหยี่ยวมีดวงตาขนาดใหญ่ที่ค่อนไปทางด้านหน้าของศีรษะ มองเห็นภาพได้ในมุมกว้าง มุมมองตรงกลางจะถูกขยายออกเพื่อมองเห็นเหยื่อได้ในระยะไกลเหมือนกับมองด้วยกล้องส่องทางไกล เห็นภาพแบบ 3 มิติ ที่มีความคมชัดทั้งภาพและสีสัน


ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องใกล้ตัว ติดตา จะมีความแตกต่างที่น่าสนใจขนาดนี้ ลองใช้ดวงตาคู่นี้ของเรา มองสำรวจสิ่งต่างๆ ที่มองผ่านไปเผื่อจะเจอสิ่งดีๆ ที่มองข้ามไปก็ได้

พิษของยาพารา...ใครว่าธรรมดา

พิษของยาพารา...ใครว่าธรรมดา

ในสมัยโบราณมีการใช้เปลือกต้นหลิว (willow) เป็นยาลดไข้ (antipyretic) และมีการค้นพบสารเคมีในเปลือกต้นหลิวคือ ซาลิซิน (salicins) ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นแอสไพริน (aspirin)ได้ นอกจากนี้ยังค้นพบว่าในเปลือกซิงโคนา (cinchona) มีควินิน (quinine) ที่มีฤทธิ์เป็นยาแก้ไข้ได้ซึ่งต่อมาถูกนำมาใช้เป็นยารักษามาลาเรีย

ในปี ค.ศ. 1880 เกิดภาวะขาดแคลนต้นซิงโคนา จึงได้มีคนพยายามที่จะหาทางเลือกสำหรับยาลดไข้ จนมีการค้นพบยาลดไข้ตัวใหม่คือ
• ปี ค.ศ. 1886 พบ อะซิตานิไลด์ (acetanilide)
• ปี ค.ศ. 1887 พบ ฟีนาซิตีน (Phenacetin)
ขณะเดียวกันในปี ค.ศ. 1873 ฮาร์มอน นอร์ทรอป มอร์ส (Harmon Northrop Morse) ก็สามารถสังเคราะห์ พาราเซตามอล โดยปฏิกิริยารีดักชั่น พารา-ไนโตรฟีนอล (p-nitrophenol) กับดีบุกในกรดอะซิติก (acetic acid) แต่ก็ยังไม่มีการนำพาราเซตามอลมาใช้เป็นยาลดไข้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1893 ได้มีการตรวจพบพาราเซตามอลในปัสสาวะของผู้ที่ใช้ยาฟีนาซิตีน และยังค้นพบว่าอะซิตานิไลด์ จะถูกเปลี่ยนเป็นพาราเซตามอลในร่างกายก่อนจึงสามารถออกฤทธิ์ลดไข้ได้ในปี ค.ศ. 1899
เนื่องจาก พาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) เป็นยาบรรเทาอาการปวด (analgesics) ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร และการแข็งตัวของเลือดเหมือนยากลุ่มเอ็นเซด (non-steroidal anti-inflammatory; NSAIDs) เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หากใช้ในขนาดการรักษาปกติ ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่ค่อยรู้พิษสงของยานี้เท่าไหร่ นอกจากนี้ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ เป็นเหตุให้ปริมาณการใช้ยาตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พาราเซตามอลกลายเป็นยาประจำบ้านที่ขายดิบขายดี เป็นอะไรก็กินแต่พาราเซตามอล ปวดศีรษะ ไข้หวัด ก็พาราเซตามอล ปวดหลัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ก็พาราเซตามอล ยิ่งกว่านั้นบางรายปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ก็กินพาราเซตามอล ซึ่งพาราเซตามอลก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ทำได้แค่ให้สบายใจขึ้นเพราะได้กินยาแล้ว บ้างก็มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมไปหาหมอรักษากัน พลอยทำให้โรคที่เป็นลุกลามมากขึ้น ต้องเสียเงินรักษามากขึ้นโดยใช่เหตุ
ในหลายประเทศได้แก่ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ได้มีการสำรวจวิจัยพบว่ามีการใช้ ยาพาราเซตามอลเกินขนาดมากขึ้นทุกปี และมีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการเกิดพิษของพาราเซตามอลจำนวนมาก จนน่าตกใจจนต้องออกมารณรงค์ให้ใช้ยาพาราเซตามอลเฉพาะเมื่อมีความจำเป็น และเผยแพร่ความรู้เรื่องพิษของยาให้ประชาชนตระหนักมากยิ่งขึ้นผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วิทยุ ใบปลิว เอกสารกำกับยา หรืออินเตอร์เน็ต



อันตรายจากการใช้ยาพาราเซตามอล ที่พบได้มากที่สุด คือ พิษต่อตับ ทำให้ตับวาย รองมาเป็นเรื่องของการเกิดปฏิกิริยากับยาอื่น หรือตีกับยาอื่นนั้นเอง ซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจ

-•- ที่เกิดจากความตั้งใจ ทุกคนคงทราบกันดี นั่นคือ การกินพาราเซตามอลประชดชีวิต การฆ่าตัวตาย ซึ่งบางรายก็แค่ต้องการประท้วง เรียกร้องความสนใจ นึกว่าพิษของพาราเซตามอลเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะพาราเซตามอลจะทำให้ตับเสียการทำงานหรือตับวายได้ ซึ่งหากได้รับยาต้านพิษไม่ทันเวลาก็จะทำให้เสียชิวิตได้

-•- ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ เนื่องจากพาราเซตามอลที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบันนั้นมีหลายรูปแบบ หลายความแรง หลายยี่ห้อ ซึ่งเป็นการยากที่ประชาชนทั่วไปจะทราบ ได้แก่ รูปของยาเม็ด ยาน้ำเชื่อม และการนำพาราเซตามอลไปผสมกับยาอื่นๆ ได้แก่ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้หวัด ยาแก้ปวด เป็นต้น ทำให้เกิดการกินยาซ้ำซ้อน โดยไม่รู้ตัว หากเป็นระยะเวลาไม่นานแค่ 2 ถึง 3 วันก็ยังพอไหว หากระยะเวลานานเป็นเดือนการเกิดพิษต่อตับคงเกิดอย่างแน่นอน ดังนั้นทางที่ดี ก่อนกินยาอะไรควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสียก่อน และหากไม่แน่ใจว่าเป็นยาอะไร เป็นยาสูตรผสมหรือไม่ ก็ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนทุกครั้ง

เรื่องที่น่าคิดอีกเรื่อง คือ การกินพาราเซตามอลร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ รัม ยีน หรือ เบียร์ เพราะตัวแอลกอฮอล์เองเป็นที่ทราบกันดีว่าหากได้รับในปริมาณมาก หรือต่อเนื่องกันนานๆ ก็ทำให้เกิดภาวะตับแข็ง ตับวายได้ หากกินร่วมกับพาราเซตามอลก็จะเท่ากับเป็นการเหยียบคันเร่งให้ตับพังได้เร็วยิ่งขึ้น คณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายให้มีการพิมพ์คำเตือนบนฉลากยาพาราเซตามอลว่า“ ห้ามรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสม แอลกอฮอล์ ” เนื่องจากเกิดคดีพิพากษาเกี่ยวกับการกินยาพาราเซตามอลร่วมกับไวน์เป็นประจำของชาวเวอร์จิเนียรายหนึ่งจนทำให้ตับวาย จนต้องมีการปลูกถ่ายตับใหม่ บริษัทผู้ผลิตยาแพ้คดีต้องจ่ายเงินชดใช้ถึง 8 ล้านดอลลาร์

เรื่องสุดท้ายที่อยากจะเตือนคุณผู้อ่านก็คือ เรื่องของยาตีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง แต่เดิมไม่เคยมีใครคิดถึงเรื่องนี้เลย คิดว่าพาราเซตามอลเป็นยาสามัญประจำบ้าน ไม่มีพิษสงอะไร ไม่ตีกับยาอื่น แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้วเนื่องจากระยะหลังนักวิจัยได้ให้ ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะคนใช้ยาพาราเซตามอลมากขึ้น ยังกับพาราเซตามอลเป็นขนมอย่างนั้นแหละ ตัวอย่างหนึ่งที่ดิฉันพบเองก็คือ พาราเซตามอลตีกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตัวหนึ่งในผู้ที่เป็นเลือดข้น กล่าวคือพาราเซตามอลทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงได้หากได้รับในปริมาณมาก อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเท่ากับไปเสริมฤทธิ์ของยาต้านการแข็งตัวของเลือดจนทำให้ผู้นั้นเกิดเลือดออกผิดปกติขึ้น

ทางที่ดีคุณควรใช้ยาพาราเซตามอลเท่าที่จำเป็นในขนาดการรักษาปกติ คือ ยาพาราเซตามอล 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ก็กินแค่ยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม 1 เม็ด ก็เพียงพอ) และหากไม่มีอาการแล้วก็ควรหยุดกินยาทันที หรือหากใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 3-4 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยเพิ่มเติมจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองที่รับประทานยาพาราบ่อยๆ ก็ควรรับประทานยาตามที่คุณหมอแนะนำนะจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เครื่องเล่นเอ็มพี 3 ทำหูหนวกก่อนวัย

เมืองไทยกับเครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 เป็นภาพคุ้นตามากๆ ขายดิบขายดีติดต่อกันมาหลายปี ไปไหนต่อไหนก็จะเห็นโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ นิยมกัน ที่จริงมันก็ไม่ต่างปะไรกับวอล์กแมนที่โซนีคิดค้นขึ้นมา แต่นั่นมันอยู่ในเทป ต่อมากลายเป็นซีดี แล้วทุกวันนี้เป็นแค่ไฟล์ในเครื่องเล่นอันเล็กนิดเดียว แต่ความจุเพลงมากมายมหาศาลกว่ากันเยอะแยะ เห็นสายห้อยจากหูวัยรุ่นบ้านเราหรือไม่ว่าบ้านไหนก็ตาม แต่สันนิษฐานได้สองอย่าง ไม่โทรศัพท์ก็เพลงจากเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลนี่แหละครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ทั่วๆ ไปหรือ ไอพ็อด หรือ แม้แต่โทรศัพท์มือถือที่ฟังเพลงได้


ในอังกฤษ เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันคนหูหนวกแห่งชาติ ออกแถลงคำเตือนเกี่ยวกับเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลที่มีกับความสามารถในการได้ยิน ด้วยความเป็นห่วงว่าคนรุ่นใหม่ๆ นิยมใช้เครื่องเพลงพวกนี้กันมาก ในอังกฤษเองปีที่ผ่านมาขายไปได้แปดล้านเครื่อง ไม่ผิดหรอกครับ 8,000,000 เครื่อง

เป็นเรื่องปกติของคนที่พออายุมากขึ้นประสาทหูก็จะเสื่อมลง คนแก่ๆ ที่ฟังอะไรไม่ค่อยได้ยินมีให้เห็นอยู่มากมาย มันก็เสื่อมไปตามสังขาร แต่ถ้าฟังเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลมากๆ เข้า อาการไม่ค่อยได้ยิน หรือจะเรียกว่าหูหนวกก่อนวัยอันควรก็ได้ จะเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยใดๆ ทั้งสิ้น แค่เสื่อมไปตามสภาพก็ไม่น่ายินดีอยู่แล้ว

จากงานวิจัยของสถาบันคนหูหนวกแห่งชาติของอังกฤษพบว่า ผู้ใช้เครื่องเล่นเอ็มพี 3 ในเมืองไบรตัน,แมนเชสเตอร์ และเบอร์มิงแฮม 72 จาก 110 คน ฟังเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ด้วยระดับเสียง 85 เดซิเบล ระดับเสียงที่พอกับเสียงนาฬิกาปลุกที่คนทั่วๆ ไปใช้โดยเฉลี่ย


อันตรายต่อประสาทหูน่ะสิครับ ทำให้มันเสื่อมก่อนวัย

มีรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกไว้ว่า การใช้หูฟังฟังเสียงระดับ 85 เดซิเบล หรือมากกว่านั้นครั้งละหนึ่งชั่วโมงหรือกว่าจะทำลายความสามารถในการได้ยินของคนลง แล้วถ้าตะบี้ตะบันฟังกันอย่างที่เราเห็นๆ หรือเราบางคนที่กำลังอ่านก็เป็นนี้ จะเกิดอะไรขึ้น ตอบได้ว่าโอกาสหูหนวกมาเยือนอาจเร็วกว่าที่คิด ยังไม่ทันแก่ นอกจากใครพูดมาก็ไม่ค่อยได้ยินแล้ว ตัวเองพูดออกไปก็ตะเบ็งเสียงดังลั่นเหมือนตะโกน

ที่เขาเป็นห่วงเด็กวัยรุ่นก็เพราะจากงานสำรวจของสถาบันคนหูหนวกแห่งชาติอังกฤษพบอีกว่า เกือบครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นทั้งหลายนั้นฟังเครื่องเล่นเอ็มพี 3 มากกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อวัน และหนึ่งในสี่ฟังมากกว่า 21 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็ราวๆ 3 ชั่วโมงต่อวัน

การสำรวจนี้ไม่ได้บอกว่าแต่ละครั้งฟังนานต่อเนื่องเกินชั่วโมงหรือไม่ ถ้านานเกินก็น่าเป็นห่วง และถ้าดูจากพฤติกรรมที่เราพบเห็นก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะวัยรุ่นทั้งหลายที่อาจรวมถึงวัยทำงานใหม่ๆ การเสียบหูฟังฟังเพลงกันทุกเมื่อ แม้ระหว่างเวลานั่งทำงานก็เห็นกันเป็นเรื่องปกติ
เมืองไทยกับเครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 เป็นภาพคุ้นตามากๆ ขายดิบขายดีติดต่อกันมาหลายปี ไปไหนต่อไหนก็จะเห็นโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ นิยมกัน ที่จริงมันก็ไม่ต่างปะไรกับวอล์กแมนที่โซนีคิดค้นขึ้นมา แต่นั่นมันอยู่ในเทป ต่อมากลายเป็นซีดี แล้วทุกวันนี้เป็นแค่ไฟล์ในเครื่องเล่นอันเล็กนิดเดียว แต่ความจุเพลงมากมายมหาศาลกว่ากันเยอะแยะ เห็นสายห้อยจากหูวัยรุ่นบ้านเราหรือไม่ว่าบ้านไหนก็ตาม แต่สันนิษฐานได้สองอย่าง ไม่โทรศัพท์ก็เพลงจากเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลนี่แหละครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ทั่วๆ ไปหรือ ไอพ็อด หรือ แม้แต่โทรศัพท์มือถือที่ฟังเพลงได้


ในอังกฤษ เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันคนหูหนวกแห่งชาติ ออกแถลงคำเตือนเกี่ยวกับเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลที่มีกับความสามารถในการได้ยิน ด้วยความเป็นห่วงว่าคนรุ่นใหม่ๆ นิยมใช้เครื่องเพลงพวกนี้กันมาก ในอังกฤษเองปีที่ผ่านมาขายไปได้แปดล้านเครื่อง ไม่ผิดหรอกครับ 8,000,000 เครื่อง

เป็นเรื่องปกติของคนที่พออายุมากขึ้นประสาทหูก็จะเสื่อมลง คนแก่ๆ ที่ฟังอะไรไม่ค่อยได้ยินมีให้เห็นอยู่มากมาย มันก็เสื่อมไปตามสังขาร แต่ถ้าฟังเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลมากๆ เข้า อาการไม่ค่อยได้ยิน หรือจะเรียกว่าหูหนวกก่อนวัยอันควรก็ได้ จะเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยใดๆ ทั้งสิ้น แค่เสื่อมไปตามสภาพก็ไม่น่ายินดีอยู่แล้ว

จากงานวิจัยของสถาบันคนหูหนวกแห่งชาติของอังกฤษพบว่า ผู้ใช้เครื่องเล่นเอ็มพี 3 ในเมืองไบรตัน,แมนเชสเตอร์ และเบอร์มิงแฮม 72 จาก 110 คน ฟังเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ด้วยระดับเสียง 85 เดซิเบล ระดับเสียงที่พอกับเสียงนาฬิกาปลุกที่คนทั่วๆ ไปใช้โดยเฉลี่ย


อันตรายต่อประสาทหูน่ะสิครับ ทำให้มันเสื่อมก่อนวัย

มีรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกไว้ว่า การใช้หูฟังฟังเสียงระดับ 85 เดซิเบล หรือมากกว่านั้นครั้งละหนึ่งชั่วโมงหรือกว่าจะทำลายความสามารถในการได้ยินของคนลง แล้วถ้าตะบี้ตะบันฟังกันอย่างที่เราเห็นๆ หรือเราบางคนที่กำลังอ่านก็เป็นนี้ จะเกิดอะไรขึ้น ตอบได้ว่าโอกาสหูหนวกมาเยือนอาจเร็วกว่าที่คิด ยังไม่ทันแก่ นอกจากใครพูดมาก็ไม่ค่อยได้ยินแล้ว ตัวเองพูดออกไปก็ตะเบ็งเสียงดังลั่นเหมือนตะโกน

ที่เขาเป็นห่วงเด็กวัยรุ่นก็เพราะจากงานสำรวจของสถาบันคนหูหนวกแห่งชาติอังกฤษพบอีกว่า เกือบครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นทั้งหลายนั้นฟังเครื่องเล่นเอ็มพี 3 มากกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อวัน และหนึ่งในสี่ฟังมากกว่า 21 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็ราวๆ 3 ชั่วโมงต่อวัน

การสำรวจนี้ไม่ได้บอกว่าแต่ละครั้งฟังนานต่อเนื่องเกินชั่วโมงหรือไม่ ถ้านานเกินก็น่าเป็นห่วง และถ้าดูจากพฤติกรรมที่เราพบเห็นก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะวัยรุ่นทั้งหลายที่อาจรวมถึงวัยทำงานใหม่ๆ การเสียบหูฟังฟังเพลงกันทุกเมื่อ แม้ระหว่างเวลานั่งทำงานก็เห็นกันเป็นเรื่องปกติ

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"เก็กฮวย"ช่วยแก้ปวดหัวได้


น้ำเก๊กฮวย

เก๊กฮวย เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับทานตะวัน ปลูกมากทางภาคเหนือ เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตรง ลักษณะใบเป็นรูปใข่ ปลายใบแหลม ขอบเว้า ออกดอกเป็นกระจุก ดอกสีเหลืองขนาดเล็ก นำมาตากแห้งเก็บไว้ได้นาน


ประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพรแบบที่เราอาจคาดไม่ถึงด้วยนะเนี่ย
- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศหนู มีน้ำมันหอมมระเหย มีรสขม
- ดอก เป็นยาระงับอาการปวดศีรษะ ไข้หวัด ขับลมในลำไส้ บำรุงประสาท
- ดอกและใบ ต้มละลายนิ่ว
- ใบและต้นใช้รักษาโรคผิวหนังได้
- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศสวน มีน้ำมันหอมมระเหย มีสารฝาดสมาน
- ดอก ช่วยย่อยและเจริญอาหาร เป็นยาระบาย แก้กระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน
- ใบ แก้ปวดศีรษะ
- ต้น ผสมกับพริกไทยดำรักษาโรคโกโนเรียย ถ้าสกัดเอาน้ำจากต้นสด ช่วยลดอาการอักเสบ

ทำไมตักบาตรเทโวโรหนะ ต้องมี “ข้าวต้มลูกโยน”


อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนาแล้วนะจ๊ะ นั้นก็คือ "วันออกพรรษา" แล้วทราบกันรึเปล่าจ๊ะว่าหลังจากวันออกพรรษา 1 วัน ซึ่งตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 นั้นเป็น "วันตักบาตรเทโวโรหนะ" เป็นวันที่ชาวพุทธจะออกมาทำบุญตักบาตรกันตามปกติ แต่ที่พิเศษกว่าทุกครั้งคือจะต้องมี "ข้าวต้มลูกโยน" ร่วมอยู่ด้วย

เมื่อพุทธศาสนิกชนทราบว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จลงจากเทวโลก กลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว จึงได้มารอรับพระพุทธองค์ แต่เนื่องจากมีผู้รอรับจำนวนมากทำให้พุทธศาสนิกชนต้องโยนอาหารใส่บาตรพระพุทธองค์ ซึ่งสาเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดประเพณี "วันตักบาตรเทโวโรหนะ" สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อทราบที่มากันไปแล้ว ตอนนี้พี่ปัดว่าเรามาทำความรู้จัก “ข้าวต้มลูกโยน" ของสำคัญของประเพณีกันบ้างดีกว่า

“ข้าวต้มลูกโยน” ทำมาจากข้าวเหนียวผัดกับกะทิและถั่วดำ เมื่อผัดเสร็จแล้วก็นำมาปั้นเป็นก้อนขนาดเท่าลูกมะปรางห่อด้วยใบพงทึ่มีลักษณะเหมือนใบอ้อย ห่อพันไปมาจนหุ้มข้าวเหนียวได้หมดเหลือปลายไว้ประมาณ 2 นิ้วฟุต หลังจากนั้นใช้ตอกที่จักจากไม้ไผ่มามัดให้แน่นอีกหลัง แล้วจึงไปนึ่งให้สุก

"วันตักบาตรเทโวโรหนะ" ถือว่าเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่งนะจ๊ะ ก็อย่าลืมเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม และชวนคุณพ่อ คุณแม่ พี่ ๆ น้องๆ ไปทำบุญกันนะจ๊ะ การเข้าวัดทำบุญจะทำให้จิตใจของเราสงบและมีสติในการคิดสิ่งต่างๆ นะจ๊ะ

ประวัติเปอร์ซิอุส-เมดูซ่า

ตำนานปีศาจงูเมดูซ่า.....

เปอร์เซอุส(Perseus) เป็นบุตรของซุสกับ Danae และ Danae เป็นพระราชธิดาของพระราชา Acrisius มีความงามเลื่องลือไปทั่ว แต่เพราะพระราชา Acrisius เป็นคนหวงลูกสาวมาก จึงให้ลูกสาวของตนอยู่ในห้องนอนบนหอคอยใหญ่ คอยกันไม่ให้แม้แต่มดหรือแมลงใดๆมากล้ำกรายลูกสาวของตนได้ ความงามของพระราชธิดาดาเน่เลื่องลือไปถึงเขาโอลิมปัสจนเข้าหูซุส ด้วยความเจ้าชู้ไก่แจ้ ซุสจึงแปลงกายเป็นฝนทองคำสาดเข้าสู่หน้าต่าง และได้อยู่กินกับพระราชธิดาดาเน่ จนตั้งท้อง แล้วจากไป เมื่อพระราชธิดาคลอดลูกออกมา เทพพยากรณ์ทำนายว่า ถ้าปล่อยให้เปอร์ซีอุสเติบโตขึ้น เขาจะเป็นผู้ฆ่าพระราชา Acrisius จึงปล่อยพระราชธิดาดาเน่และเปอร์ซีอุสลอยแพในทะเล

เมื่อลอยไปในทะเลหลายวัน ทั้งสองได้รับการช่วยเหลือโดย Polydectes พระราชาแห่ง Seriphus เพราะหลงไหลในความงามของพระราชธิดาดาเน่ พระราชาโพลีเดคทีสพยายามหาโอกาสที่จะเข้าหาพระราชธิดาดาเน่เพื่ออะจึ๊ก ๆ แต่ไม่สามารถทำตามตั้งใจได้เพราะเปอร์ซีอุสคอยกีดกันขัดขวางไว้ พระราชาโพลีเดคทีสจึงวางแผนกำจัดเปอร์เซอุส จึงส่งเขาให้ไปนำหัวเมดูซ่า(หญิงสาวที่มีงูเต็มหัว ใครมองเห็นจะกลายเป็นหิน)กลับมาเพื่อพิสูจน์ความกล้าหาญ

ย้อนที่ประวัติเมดูซ่า นี้ดนึงนะครับ เมดูซ่า จริงๆไม่ได้ชื่อเผ่าพันธุ์นึงที่มีงูอยู่บนหัวนะคร้าบบ แต่เป็นชื่อของนางจริงๆ โดยจริงๆแล้ว นางปีศาจหัวงูกิงกองเรียกกัยว่าอสุรกายกอร์กอน (ที่ไม่ใช่รุด กูลิส)นั้น มีพี่สาวที่เป็นอย่างเธอถึง 2 คนด้วยกัน แถมจริงๆยังเก่งกว่าเธอและเป็นอมตะด้วย (เมดูซ่าอ่อนสุดแถมตายได้ง่ายด้วยการตัดคอ โฮ้ นี่ขนาดอ่อนแอสุดนะ ยังดังกว่าเลย ) ชื่อ สธีโน และ ยุไรเอลิ ซึ่งมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวใครสบตาพวกนางเป็นแข็งเป็นหินทุกราย เดิมพวกนางก็เป็นนางฟ้าแสนสวยนี่แหละ แต่ได้ถูกเทพีอาเธน่าพิโรธด้วยเรื่องอะไรที่มิรู้ได้จึงถูกสาปให้เป็นกอร์กอนนี่แหละครับ
เปอร์เซอุสออกเดินทางพร้อมกับโล่ห์เงิน ระหว่างเดินทาง เทพเฮอร์เมสและเทพธิดาเอธีน่า ได้ช่วยเหลือเปอร์เซอุสมากมาย เขาเดินทางไปหา เหล่าสาวๆพี่น้องของพวกเมดูซ่า Graeae ที่มีตาเพียงคนละตาเดียวและฟันเพียงคนละซี่เดียว เปอร์เซอุสได้หยิบตาและฟันของพวกเธอมา และสัญญาว่าจะคืนให้ ถ้ายอมช่วยเหลือเขาเพื่อปราบเมดูซ่า พวกเธอจึงช่วยเขาโดยนำปีกนกทำจากไม้จันทน์ 1 คู่ เป็นของวิเศษที่ทำให้บินได้, ย่ามใบใหญ่ เพื่อใส่หัวเมดูซ่า และหมวกวิเศษของฮาเดส ที่มีอำนาจทำให้หายตัวได้ เปอร์เซอุสจึงสวมหมวกวิเศษ แล้วบินไปหานางเมดูซ่า มองเงาสะท้อนของนางในโล่ห์ แล้วใช้ดาบตัดหัวนาง ขณะที่เขาบินข้ามแอฟริกา เพื่อกลับสู่เมืองเซริฟุส เขาได้เผชิญหน้ากับเทพแอตลาส Atlas หลังจากต่อสู้จนเหน็ดเหนื่อย เปอร์เซอุสจึงหยิบหัวของเมดูซ่าออกจากย่ามแล้วให้แอตลาส มองจนกลายเป็นหิน {กลายเป็นภูเขาแอตลาส} แต่เขาก็ทำเลือดเมดูซ่าหยดไปบนผืนทรายของทะเลทรายแอฟริกา ซึ่งต่อมาหยดเลือดนั้นก็กลายเป็นงูพิษทะเลทรายที่มีพิษร้ายแรง

ต่อมาเมื่อเขาเดินทางผ่านทะเล เขาพบเทพธิดาแอนโดเมด้าถูกล่ามโซ่เปลือยบนก้อนหินริมทะเลเพื่อสังเวยปีศาจทะเล เขาตกหลุมรักหล่อนในทันทีจึงไปเจรจาเงื่อนไขกับว่าที่พ่อตา เซเฟอุส ว่า เขาจะฆ่าปีศาจทะเลเพื่อแต่งงานกับหล่อน เขาจึงปราบปีศาจทะเลจนหมดสิ้น แต่ในงานพิธีแต่งงาน ก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เมื่อ Phineus เพื่อนชายเก่าของแอนโดรเมดา เกิดอยากเป็นเจ้าบ่าวเสียเอง(ยุ่งล่ะสิ) จึงเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันขึ้นเพื่อแย่งตัวแอนโดรเมดา เปอร์เซอุสจึงหยิบหัวเมดูซ่าออกมาจากย่าม ให้ ฟิเนอัสและพรรคพวกดูจนกลายเป็นหินไป
เมื่อเขาพาเจ้าสาวกลับมาเมือง Seriphus เขาพบว่าพระราชาโพลีเดคทีสยังคงคอยเซ้าซี่รบกวนนางดาเน่ เขาจึงใช้หัวเมดูซ่าอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนหระราชาให้กลายเป็นหิน(ใช้อยู่เรื่อย พลังไม่หมดหรือไงน่ะ) และเขาก็มอบปีกนก, ย่าม และหมวกวิเศษ ให้กับเทพเฮอร์เมส และมอบหัวเมดูซ่าให้กับเทพธิดาเอธีน่า ซึ่งนำหัวมาติดบนโลห์ aegis ของเธอเพื่อปกป้องเธอในสนามรบ

ในที่สุด เปอร์เซอุสก็เดินทางกลับไปยังเมืองของ Acrisiusโดยได้โยนจานร่อนเพื่อประลองกำลังไปถูกพระราชา Acrisius ตาย ตามคำทำนายทุกประการ

จากตำนานนี้ก็ได้เกิดตัวละครหนึ่งในเรื่องเซนต์เซย่า เขาผู้นั้นเป็นถึงระดับซิลเวอร์เซนต์ที่มีบทบาทเด่นมากคนนึง นั้นก็คือ เปอร์ซีอุส อัลกอส ชาวอาหรับอิมเรส มีโล่เมดูซ่าที่ถ้าให้หันโล่ห์ให้ศัตรูได้ดู จะทำให้ศัตรูผู้นั้นแข็งเป็นหินในบัลดลเลยที่เดียว เขาทำให้เซย่ากับชุนเสียท่าเป็นหิน แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับดราก้อน ชีริว ที่ยอมทำลายตาเพื่อไม่ให้สัมผัสโล่ห์เมดูซ่าได้ แล้วทำลายโล่ห์และจัดการเปอร์เซอุส อัลกอลได้ในที่สุด

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เตือนภัย : ใส่คอนแทคระวังอันตราย

การใส่คอนแทคเลนส์ ทำให้การส่งผ่านออกซิเจนระหว่างอากาศกับกระจกตาดำลดลง (กระจกตาดำต้องการออกซิเจนจากหน้าสัมผัสกับอากาศภายนอกโดยการละลายของออกซิเจนในน้ำตาผ่านเข้าไป) ดังนั้น ผู้ใช้คอนแท็กเลนส์บางคนที่มีการสร้างน้ำตาบกพร่อง (ไม่ว่าจะเป็นในแง่ปริมาณ และ/หรือคุณภาพของน้ำตา) ทำให้การส่งผ่านออกซิเจน-น้ำตา-กระจกตาดำลดลง


ซึ่งผลก็คือ กระจกตาดำขาดอากาศหายใจ ทำให้เซลล์เยื่อบุผิวกระจกตาดำซึ่งมีบทบาทในการทำให้กระจกตาดำคงความใสอยู่ได้ตลอดเวลา ลดจำนวนลงไป ภูมิคุ้มกันของตา โดยเฉพาะ บริเวณกระจกตาดำลดลงไป เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น
สำหรับอัตราของผู้ใช้คอนแทคเลนส์ โดยดูแลอย่างถูกต้อง (ไม่ใส่ค้างคืน ไม่ขี้เกียจล้าง) อยู่ที่ ๑:๒๐๐:๑ ปี (ใน ๑ ปี คนใช้คอนแท็กเลนส์ อย่างถูกวิธี ๒๐๐ คน จะมี ๑ คน ที่เกิดการติดเชื้อทั้งที่รุนแรงและไม่รุนแรง)
การใส่คอนแทคเลนส์เมื่อมีการติดเชื้ออย่างอ่อนๆ อาจมีอาการเพียงการคัน ระคายเคือง หรือมีน้ำตาไหลเท่านั้น ทำให้ร่างกายพยายามเอาระบบภูมิคุ้มกันมายังกระจกตาดำ (ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงโดยสิ้นเชิง) มากขึ้น หลอดเลือดที่เยื่อบุตาขาวจะขยายตัว ในผู้ที่เกิดการระคายเคืองการแพ้สารที่อยู่ในน้ำยาสารพัดอย่าง มีการขยายตัวของหลอดเลือดนี้ได้บ้างเหมือนกัน บางรายหลอดเลือดถึงกับงอกไปบนกระจกตาดำเลยทีเดียว


ในบางประเทศ ทุกคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ต้องได้รับการตรวจพื้นฐาน ได้แก่ ความโค้งของกระจกตา (คอนแท็กเลนส์มีหลายความโค้ง การเลือกความโค้งให้เหมาะกับตาแต่ละคนก็เป็นเรื่องสำคัญ) ตรวจคุณภาพน้ำตา และโรคตาที่อาจยังไม่แสดงอาการก่อนที่จะเริ่มใส่คอนแทคเลนส์ และในบางคนอาจได้รับคำแนะนำให้เลือกใช้วิธีแก้ไขสายตาอย่างอื่นแทน ทั้งที่ดูๆ เขาก็เป็นคนปกติ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องตามาก่อน


แต่พอหันกลับมาดูที่ประเทศไทย คอนแทคเลนส์นั้นหาซื้อได้ง่ายถึงขั้นที่ว่าขายกันอยู่ตีนบันไดทางขึ้น – ลง รถไฟฟ้า วัยรุ่นก็ให้ความนิยมหาซื้อกันมาใส่ ถูกผิดก็ลองๆ กันไป...มีปัญหาค่อยหาหมออีกทีแบบพี่เหมี่ยวว่าไม่คุ้มเลยนะคะ เสียเงินได้ของไม่มีคุณภาพมาใช้แล้วยังต้องเสี่ยงอันตรายอีก

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เตือนภัย : ของเล่นอันตราย 'ตัวดูดน้ำ'

“น้ำตานางเงือก” หรือตัวดูดน้ำ มีขนาดตัวเท่ากับใส้ดินสอ เมื่อนำมาแช่น้ำ ตัวนี้ก็จะดูดน้ำเข้าไปพองตัว โตขึ้นเรื่อยๆ ขนาดใหญ่ขึ้นราว 100 เท่า และจะมีการแตกตัวออกมาเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ เด็กๆ เรียกว่ามีการออกลูก เป็นการเลี้ยงโดยน้ำ โดยน้ำตานางเงือกนั้นจะบรรจุอยู่ในซองเล็กๆ วางขายในราคาซองละ 5 บาท


ทั้งนี้ทางองค์การอาหารและยา หรือ อย. เคยออกมาห้ามจำหน่ายแล้วทั่วประเทศเมื่อปีที่แล้ว แต่ขณะนี้มีการลักลอบนำมาจำหน่ายอีกของพ่อค้าหัวใส โดยเฉพาะใน อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ ระบาดกันมาก ผู้ปกครองเป็นหวงหวั่นเด็กไปกินเข้า จึงฝากมาให้ อย. ส่งคนมาดูแล


สำหรับตัวดูดน้ำดังกล่าว มีสารโพลีอะคริลาไมด์ (polyacrylamide) และสารไวนิลอะซีเตด-เอทิลีนโคโพลิเมอร์ (vinylacetate-ethylene copolymer) ซึ่งสารโพลีอะคริลาไมด์ เป็นโพลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติดูดซับน้ำไว้ในโมเลกุลได้จำนวนมาก โดยโพลิเมอร์มีความสามารถดูดซับน้ำได้ถึง 800 เท่า


อันตรายของ “น้ำตานางเงือก” หรือตัวดูดน้ำ นั้นจะเกิดขึ้นจากการที่เด็กๆ จะชอบเล่น และแอบนำมาเลี้ยงซึ่งนิยมนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้านแข่งกันเวลาออกลูกมา และจะอันตรายมากหากมีการเผลอกินเข้าไป เพราะมันจะดูดเลือดและน้ำจากร่างกาย เพื่อที่จะพองตัวออก และเมื่อพองตัวถึงระดับหนึ่ง ก็จะแตกตัวออกมา และเมื่อตัวใหม่ดูดน้ำเข้าไปอีก ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ จนแตกตัวใหม่ออกไปอีกเรื่อยเช่นนี้ และหากเด็กกินเข้าไป ก็จะจุกเสียดแน่นท้อง และอาจจะเสียชีวิตได้

รู้จักพายุไต้ฝุ่นกิสนาให้มากขึ้น


… ก่อนหน้านี้ทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้รายงานถึงสภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดขึ้นจาก 'พายุไต้ฝุ่นกิสนา' ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ในหลายๆ ประเทศ ...

สำหรับพายุไต้ฝุ่นกิสนาเป็นพายุที่เกิดในเขตร้อนเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านแถบตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณที่มีพายุเกิดขึ้นมากที่สุดในโลก พายุไต้ฝุ่นกิสนาได้ก่อตัวบริเวณทางตะวันออกของฟิลิปปินส์จากนั้นได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่ประเทศฟิลิปปินส์โดยขณะขึ้นฝั่งนั้นได้ทำให้เกิดลมแรงและฝนตกเป็นบริเวณกว้างในแถบภาคเหนือของฟิลิปปินส์ซึ่งพายุลูกนี้ได้พัดอยู่ถึง 9 ชั่วโมงซึ่งฝนปริมาณมหาศาลที่ตกลงมา ทำให้เกิดน้ำท่วมดินถล่ม ในแถบภาคเหนือของประเทศ รวมถึงกรุงมะนิลาเมืองหลวงของประเทศ ฟิลิปปินส์ซึ่งได้ถูกน้ำท่วมสูงมาก ซึ่งสูงถึง 6 เมตร ซึ่งนับตั้งแต่พายุขึ้นฝั่งจนถึงเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา น้ำที่ท่วมอยู่ยังลดระดับลงไม่หมดขณะนี้ทางการฟิลิปปินส์ได้ประกาศขอรับความช่วยเหลือทุกอย่างจากประเทศต่างๆแล้วและน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้เป็นการท่วมหนักในรอบ 40 ปี ของฟิลิปปินส์

สิ่งที่ต้องระวัง ณ ขณะนี้ก็คือ หลังจากซัดกระหน่ำฟิลิปปินส์จนยับเยินแล้วพายุกิสนาได้เคลื่อนตัวลงทะเลจีนใต้และได้เพิ่มกำลังเป็นไต้ฝุ่นซึ่งมีความรุนแรงถึง 165 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งจะขึ้นฝั่งเวียดนามในวันนี้ 29 กันยายน 2552จากนั้นจะเคลื่อนตัวผ่านประเทศลาวและเข้าสู่ประเทศไทย ในบริเวณ จังหวัด อำนาจเจริญอุบลราชธานีแม้จะลดระดับความรุนแรงลงมาเป็นระดับพายุโซนร้อนแต่ก็สามารถทำให้ฝนตกหนักในบริเวณภาคอีสานและจากนั้นภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบตามมาทีหลังซึ่งกรุงเทพมหานครเองก็คงไม่รอดจากพายุลูกนี้ซึ่งน่าจะทำให้ฝนตกหนักเพิ่มขึ้นอาจจะเกิดน้ำท่วมขึ้นได้ในบริเวณที่ลุ่มส่วนบางพื้นที่ที่แล้งก็น่าจะได้รับฝนกันเต็มๆคราวนี้เรื่องจากเป็นพายุขนาดใหญ่ซึ่งน่าจะหอบฝนมาตกในพื้นที่ในปริมาณมาก

ถือว่าเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่น่ากลัวจริงๆ เลยนะคะ … และวันนี้ก่อนที่จะจากกันไป ก็มีเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ไปรวบรวมมาจากมติชนออนไลน์มาฝากน้องๆ กันค่ะ

>> พายุลูกนี้ มีความรุนแรงเป็นระดับ 2 ความเร็วลม 165 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ยังเป็นรองพายุไต้ฝุ่นเกย์ ที่ขึ้นฝั่งประเทศไทยในปี 2532ซึ่งจัดเป็นพายุระดับ 3

>> พายุลูกนี้ได้เปลี่ยนเส้นทางอย่างเหนือความคาดหมายอยู่ตลอดเวลาซึ่งเป็นปรกติกับพายุในเขตร้อน

>> พายุลูกนี้ ทำให้ฟิลิปปินส์น้ำท่วมหนักในรอบ40 ปี คนครึ่งล้านไร้ที่อยู่อาศัย มีคนเสียชีวิต 200กว่าคน

>> พายุลูกนี้ ทำให้เกิดสตอร์มเซิร์จหรือคลื่นพายุซัดฝั่งสูงถึง 7 เมตร


ประเทศนอร์เวย์ได้ชื่อว่าเป็น "ดินแดนอาทิตย์เที่ยงคืน" หรือ The Midnight Sun เนื่องมาจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะโลกกลมและหมุนรอบตัวเองพร้อมกับโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วย โดยโลกจะเอียงแกนสลับเอาขั้วโลกเหนือ-ใต้หันเข้าหาดวงอาทิตย์ชั่วระยะหนึ่งใช้เวลาเท่าๆ กัน คือประมาณ 4-6 เดือน โดยขณะที่โลกหันขั้วนั้นเข้าหาดวงอาทิตย์ ประเทศในแถบขั้วโลกนั้นก็จะเป็นฤดูร้อน
ความพิเศษอยู่ที่ เมื่อโลกเอียงเอาขั้วโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ ขั้วโลกเหนือก็จะได้รับแสงสว่างและความร้อนเต็มที่ ทำให้นอร์เวย์ซึ่งอยู่เหนือสุดเข้าสู่ฤดูร้อนที่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องสว่างนานตลอด 24 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลานานนับเดือน ผู้คนที่นั่นก็จะได้เห็นดวงอาทิตย์โคจรเป็นทางโค้งอยู่เหนือขอบฟ้าและค่อยๆ ลดต่ำลงจนเกือบจรดขอบฟ้า ทว่าจะไม่ลับขอบฟ้าไปเสียเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ โคจรสูงขึ้นไปอีกในตอนเที่ยงคืน ทำให้มีแสงสว่างสาดเป็นทางยาว คล้ายเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าหรือตกลับขอบฟ้าในยามเย็น (โรแมนติกมากมาย!)
ขณะเดียวกัน ด้านฝั่งตรงข้ามคือขั้วโลกใต้จะเข้าสู่ฤดูหนาวที่มืดมิดและมีอากาศหนาวจัดตลอด 24 ชั่วโมงติดต่อนับเป็นเดือนเช่นกัน แต่เมื่อโลกหมุนเอียงเอาขั้วโลกใต้หันเข้าหาดวงอาทิตย์ ขั้วโลกใต้ก็จะสว่างเป็นเวลานานและมีปรากฏการณ์เห็นดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงคืนเช่นกัน เพียงแต่ว่าที่ขั้วโลกใต้นี้ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ มีเพียงเพนกวินจักรพรรดิเท่านั้นที่เดินเตาะแตะชมวิวอาทิตย์เที่ยงคืน
ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์เที่ยงคืน ณ ขั้วโลกเหนือ จะเกิดขึ้นในบริเวณที่อยู่ เหนือเส้นอาร์ติกเซอร์เคิล หรือประมาณเส้นละติจูดที่ 66 องศาเหนือ ทำให้ผู้คนในประเทศที่อยู่เหนือเส้นละติจูดนี้มองเห็นดวงอาทิตย์ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
หากน้องๆ ชาว Dek-D.Com มีโอกาสได้เดินทางไปชมอาทิตย์เที่ยงคืนที่ประเทศนอร์เวย์ น้องๆ ควรเดินทางไปที่ เมืองทรอมโซ่ ช่วงระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม - 27 กรกฎาคม หรือที่ เมืองสวาลบอร์ด ซึ่งเป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่นอร์เวย์ขึ้นไปอีกราว 640 กิโลเมตร ช่วงระหว่าง 19 เมษายน - 23 สิงหาคม พี่จูนรับรองว่าน้องๆ จะได้ชมอาทิตย์เที่ยงคืนที่สวยสุดๆ เลยค่ะ
ทั้งนี้ อาทิตย์เที่ยงคืนไม่ได้มีที่นอร์เวย์เท่านั้นนะคะ แต่ดินแดนที่อยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลขึ้นไป ประกอบด้วย อะลาสกา แคนาดา กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ สวีเดน ฟินแลนด์ และดินแดนของรัสเซียในบริเวณโนวาวา เซมล์ยา หรือมูร์มันสก์ ก็สามารถมองเห็นอาทิตย์เที่ยงคืนได้เหมือนกัน โดยดินแดนที่เคยมีบันทึกว่า เกิดปรากฏการณ์อาทิตย์เที่ยงคืนยาวนานที่สุดคือ ทางปลายเหนือสุดของฟินแลนด์ ซึ่งที่นั่นดวงอาทิตย์ไม่เคยตกลับขอบฟ้ายาวนานถึง 73 วัน
ส่วนเรื่องของเวลาในประเทศเหล่านี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาค่ะ เพราะเวลาก็เดินไปตามนาฬิกาปกติ สิ่งเดียวที่ต่างไปก็คือความงดงามของบรรยากาศใกล้ค่ำที่ดวงอาทิตย์ทอแสงสุดท้ายของวันยาวนานกว่าปกติเท่านั้นเอง...


ผู้ติดตาม