ตัวเคลื่อนไหว

JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW JIGSAW

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Christmas

ประวัติวันคริสต์มาส

คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

ต้นคริสต์มาส

ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

ซานตาครอส

ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รู้ไหม? กินขนมปังปิ้งทำให้แก่ไว

อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ แต่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอาหารมื้อแรกของวันสักเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะความเร่งรีบและต้องแข่งขันกับเวลา ทำให้อาหารเช้าที่ความจริงแล้วจะต้องเปี่ยมไปด้วยสารอาหาร ถูกลดทอนความสำคัญให้เหลือเพียงแค่"ขนมปังปิ้ง"เท่านั้น ...

จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้วว่า การที่เรารับประทานขนมปังปิ้งบ่อยๆ ติดต่อกัน จะทำให้เราแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว และเป็นโรคเรื้อรังขึ้นได้

เด็กดีดอทคอม :: รู้ไหม? กินขนมปังปิ้งทำให้แก่ไว

ข้อเท็จจริงนี้ถูกยืนยันโดย โจเซฟีน ฟอร์บส์ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันโรคหัวใจและเบาหวาน ไอดีไอ ที่ ได้ทำการศึกษาอาหารสามัญต่างๆ ตั้งแต่ขนมปังปิ้ง ครัวซองต์ ว่าขนมปังเหล่านั้นสามารถก่อสารเคมี ซึ่งกำลังเป็นที่สงสัยกันว่าทำให้เราแก่ลงได้อย่างรวดเร็ว และเป็นโรคเรื้อรังได้ โดยสารเคมีนั้นมีชื่อว่า เอจีอีส์ อยู่ในอาหาร นับตั้งแต่อาหารที่มีเนื้อสัตว์บดละเอียด ไปจนถึง เครื่องดื่มอัดลมและกาแฟ

แล้วทราบรึเปล่าว่าการที่มีสารเอจีอีส์ สะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไปจะส่งผลอย่างไรต่อร่างกายของเรา ... เชื่อเถอะว่าคาดไม่ถึงแน่ๆ เพราะสารเคมีเอจีอีส์นั้นจะให้เราสามารถเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคผิวหนังเหี่ยวย่นซึ่งผิวที่มีอายุก็จะเหี่ยวย่นและมีการสะสมของเม็ดสีทั้งนี้อาหารที่อาจก่อนให้เกิดสารเคมีเหล่านี้ได้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแปรรูปที่มีปริมาณน้ำตาลหรือปริมาณไขมันสูง และผ่านการปิ้ง ย่าง หรือการทอดด้วยอุณหภูมิสูง

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพ่อ วันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติ มีขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๓ โดย คุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม ด้วยความจงรักภักดี และมีวัตถุประสงค์ เทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พ่อแห่งชาติ”

ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป

วัตถุประสงค์ของการจัด วันพ่อแห่งชาติ ที่คณะผู้ริเริ่มกำหนดคือ
  1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


  2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม


  3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ


  4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน

ในการนี้คณะกรรมการได้จัดกิจกรรมประกาศเกียรติคุณ พ่อตัวอย่าง หรือพ่อดีเด่น โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ มีอายุ ๔๐ ปีขึ้นไป ส่งเสริมการศึกษาของบุตรธิดา นับถือศาสนาโดยเคร่งครัด งดเว้นอบายมุขทุกชนิด อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน และมีภรรยาเพียงคนเดียว และได้แนะนำกิจกรรมสำหรับลูกในวันพ่อ คือ ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หรือบำเพ็ญกุศล ทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศล และระลึกถึงพระคุณของพ่อ ซึ่งยังดำเนินการสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

วันที่ ๕ ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้ว ยังถือว่าว่าวันนี้ เป็น “วันชาติของไทย” อีกด้วย

โดยทั่วไป “วันชาติ” มักจะหมายถึง วันเฉลิมฉลองที่ประเทศนั้นๆได้รับอิสรภาพ เป็นเอกราช หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ รัฐ ราชวงศ์ วันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ วันเกิดประมุขของรัฐ หรืออาจจะเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆ แต่มักจะถือเป็นวันหยุดประจำของชาติ ซึ่ง “วันชาติ” ของแต่ละประเทศจะเป็นวันใด ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศโมร็อกโก ตรงกับวันที่ ๒ มีนาคม สหรัฐอเมริกา ตรงกับวันที่ ๔ กรกฎาคม ฝรั่งเศสตรงกับวันที่ ๑๔ กรกฎาคม อินโดนีเซียตรงกับวันที่ ๑๗ สิงหาคม บราซิลตรงกับวันที่ ๗ กันยายน และเคนย่าตรงกับวันที่ ๑๒ ธันวาคม เป็นต้น

“วันชาติ” ของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเพียงวันเดียว แต่ก็มีบางประเทศเช่นกันที่มี “วันชาติ” มากกว่าหนึ่งวัน ทั้งนี้เพราะประเทศนั้นๆ อาจจะนับวันที่ได้รับเอกราชหรือวันที่ปลดแอกจากการเป็นอาณานิคม และวันที่มีการสถาปนาการปกครองขึ้นใหม่ ซึ่งอาจจะมิใช่วันเดียวกัน แต่เป็นวันสำคัญเสมือนวันชาติเท่าๆกัน เช่น ประเทศปากีสถาน จะมีวันชาติตรงกับวันที่ ๒๓ มีนาคม ที่เขาเรียกว่า “Republic Day” และวันที่ ๑๔ สิงหาคม เป็น “Independence Day” ส่วนฮังการี ก็มีถึง ๓ วันคือ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๐ สิงหาคม และ ๒๓ ตุลาคม สำหรับจีน นอกจากจะมีวันชาติตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม แล้ว ที่ฮ่องกง อันเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน ที่มีขึ้นหลังจากอังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้จีนก็มีการเฉลิมฉลองวันที่ตรงกับวันสถาปนาการปกครองพิเศษนี้ขึ้น ในวันที่ ๑ กรกฎาคม อีกด้วย

สำหรับประเทศไทย เราเคยได้มีการกำหนดให้วันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็น “วันชาติ”ของไทย ด้วยถือว่าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยได้มี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง “วันชาติ” ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ โดย พ.อ.พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และได้มีการเฉลิมฉลองวันชาติ ๒๔ มิถุนายน ครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๔๘๒ ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี

วันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็น “วันชาติ” ของไทยอยู่นานถึง ๒๑ ปี ครั้น วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๐๓ สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่ง เรื่อง ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย โดยให้เหตุผลว่า

ด้วยคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ตามที่ได้กำหนดให้มีการเฉลิมฉลองวันชาติไทยในวันที่ ๒๔ มิถุนายน นั้น ได้ปรากฏในภายหลังว่า มีข้อที่ไม่เหมาะสมหลายประการ ในด้านประชาชนและหนังสือพิมพ์ก็ได้เสนอแนะให้พิจารณาในเรื่องนี้หลายครั้งหลายคราว คณะรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา โดยมีพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

คณะกรรมการนี้ได้พิจารณาแล้ว เสนอความเห็นว่า ประเทศต่างๆได้เลือกถือวันใดวันหนึ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับชนในชาติต่างๆกัน โดยถือเอาวันประกาศเอกราช วันอิสรภาพ วันตั้งถิ่นฐาน วันสาธารณรัฐ วันสถาปนาพระราชวงศ์บ้าง ซึ่งไม่เหมือนกัน แต่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ โดยทั่วไปนั้น ได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ เช่น ประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นต้น แม้ประเทศไทยเราเองก็ได้ถือเอาวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยมาแล้ว เพิ่งจะมากำหนดเอาวันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็นวันชาติ เพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่งในระยะหลังนี้เอง

คณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นหลักการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน จึงสมควรจะถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยต่อไป โดยยกเลิกวันชาติ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายนเสีย

ดังนั้น นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ประเทศไทยจึงได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันชาติ” ของไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ตามปกติ การจัดงาน “วันชาติ” ของประเทศต่างๆก็จะมีกิจกรรมและรูปแบบแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ก็มักจะมีการกล่าวสุนทรพจน์ การจัดขบวนพาเหรดเฉลิมฉลอง การจุดพลุดอกไม้ไฟอย่างเอิกเกริก รวมไปถึงการแสดงมหรสพต่างๆ เป็นต้น แต่ในประเทศไทย เนื่องจากวันชาติ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา และวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งมีกิจกรรมเฉลิมฉลองอยู่แล้ว กอปรกับประเทศไทยยังไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน และคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็คุ้นชินกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างที่เห็นกันอยู่ปัจจุบัน

ดังนั้น “วันชาติ” ของเราจึงดูเหมือนไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก เพราะชาวไทยทุกหมู่เหล่าล้วนตัองการจัดกิจกรรมเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พ่อหลวงของแผ่นดิน” มากกว่าประเด็นอื่น อย่างไรก็ดี หากเราจะระลึกว่าวันนี้ ก็เป็น “วันชาติ”ของไทยด้วย แล้วจัดกิจกรรมต่างๆที่จะแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อ “ประเทศชาติ” ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และความเสียสละมาอย่างยาวนานเช่นไร ก็อาจจะทำให้ วันนี้ มีความหมายครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Song => No Me Digas Que No

Enrique Iglesias
W
Yandel

Ay Ay Ay!
No me lastimes más el Corazón
(Deja la incertidumbre)
Que no tengo siete vidas
Como un gato ni mala intención

Yo no soy como un juguete
De tu diversión

No me trates como un niño
Que perdido va sin dirección
(Señora)

No me digas que no
No me digas que no
Yo me quedo contigo
Aunque sea prohibido
No digas que no

No me digas adiós
No me digas adiós
Que tus labios no miente
Yo se lo que sientes
No digas que no

(Solo te pido confianza
Yandel)

No me digas que
No quiero arreglar la situación
Pensar en ti
Ese fuego y esa pasión
Que antes sentías cuando me mirabas
Que antes sentías cuando me tocabas

Si te vas no se que haré
Eres la razón por la cual seguiré
Aquí, esperando por ti
(Estamos envueltos)
Hasta que tomes tu dedicación
Y vengas a mí

No me digas que no
No me digas que no
Yo me quedo contigo
Aunque sea prohibido
No digas que no

No me digas adiós
No me digas adiós
Que tus labios no miente
Yo se lo que sientes
No digas que no

(Consejo
Haga lo que sienta su corazón)

Sin hacer ruido
Acércate y calladita vente conmigo
Si lo consigo
Puedo ser tu novio
Tu amante o tu amigo
Ella me mira, yo la miro
Suspiro, sentidos
Nos revolcamos en la cama
Y se me aceleran los latidos

Mírame no digas que no
Que la noche acaba de empezar
Nos espera nuestra habitación

(Tu mirada me dice que quieres)

No me digas que no
No me digas que no
Yo me quedo contigo
Aunque sea prohibido
No digas que no

No me digas adiós (Solo tu y yo)
No me digas adiós
Que tus labios no miente
Yo se lo que sientes
No digas que no

(Yo soy tuyo y tu eres mía)

No me digas que no
(No me digas que no)
No me digas que no
(No me digas que no)
Yo me quedo contigo
Aunque sea prohibido
No digas que no

No me digas adiós
(No me digas adiós)
No me digas adiós
(No me digas adiós)
Que tus labios no miente
Yo se lo que sientes
No digas que no

(Escucha bien lo que va decir Yandel)

Yo solo quiero que confíes en miเพิ่มรูปภาพ
Yo solo quiero darte amor
Que me mires y digas que si
(Y que no lo piense)
Entregando tu cuerpo sin discusión
(Víctor "El Nazi")
Quisiera nena de ti disfrutar
(Una colaboración de Nesty "La Mente Maestra")
La noche acaba de comenzar
El champagne acaba de llegar
(Enrique Iglesias)
Vamos a pasarla bien
Por Favor...

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เกาะหวาย

กาะหวาย ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เป็นเกาะขนาดใหญ่เกาะหนึ่ง มีแนวชายหาดที่สวยงามแต่ไม่ยาวมากนัก รอบเกาะส่วนใหญ่เป็นแนวหิน ประกอบด้วยอ่าวใหญ่ๆ มีแนวปะการังที่สวยงามสมบูรณ์ อยู่ในอ่าวด้านเหนือของเกาะ ซึ่งความยาวถึง 2 กิโลเมตร จึงนับได้ว่าเป็นจุดดำน้ำตื้นที่สมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง
กิจกรรม - กิจกรรมชายหาด - ดำน้ำตื้น



วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ห้องสมุดลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เด็กดีดอทคอม :: ห้องสมุดลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก


เรือ ดูโลส เป็นเรือขนาดมหึมา บรรทุกเอาหนังสือประมาณ
100 ตัน 6,000 เรื่อง 500,000 เล่ม
นับเป็น "ร้านหนังสือลอยน้ำ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก"

เป็นเรือที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน
วันนี้พี่นัทจะมีเรื่องราวน่าสนใจของเรือลำนี้

ชื่อ "ดูโลส" มีความหมายในภาษากรีกว่า "ผู้ รับ ใช้" แต่เมื่อแรกเกิดในปี ค.ศ.1914 (2 ปีหลังจาก "เรือ ไท ทา นิค" อับปางลง)ตอนนั้นใช้ชื่อว่า "เอส เอส เม ดินา" เพื่อ ขนส่งหัวหอมจากนิวยอร์ก ไปยังกัลเวสตัน รัฐเท็ก ซัส ต่อมาในปี 1948 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โร มา" และปี 1952 ใช้ชื่อ "ฟรัง กาซี" กระทั่งปี 1977 ถึง ปัจจุบันจึงได้ใช้ชื่อว่า "เอ็ม.วี. ดู โลส"

ตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังรับหน้าที่เป็นเรือสนับสนุนของอเมริกา
ส่วนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเรือยามตรวจการณ์

มีลูกเรือที่เป็นอาสาสมัครจาก 30 ประเทศทั่วโลกจำนวนกว่า 300 คน งานบนเรือแบ่งเป็นงานด้านหนังสือ ดูแลต้อนรับ ฝ่ายช่าง ฝ่ายเทคนิค ฝ่ายอาหาร ฝ่ายจัดการ อื่นๆ อีกมากมาย เหมือนกับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งทีเดียว ปัจจุบัน เรือดูโลส บรรทุกหนังสือ ต่างๆจำนวน 4,000 - 6,000 เรื่อง และที่ ผ่านมามีประชาชนทั่วโลกถึง 15 ล้านคน ได้เยี่ยมชมเรือดูโลส มาแล้วเพราะดูโลสได้แวะในประเทศต่างๆมาแล้ว 87 ประเทศ



ลอยกระทงนานาชาติ

ลอยกระทงพม่าลอยเพื่อบูชาพระอุปคุตที่อยู่กลางสะดือทะเล ว่า ต้นเหตุเรื่องลอยกระทงของชาวบ้านเรื่องหนึ่งว่า พระเจ้าธรรมาโศกราชจะทรงสร้างพระเจดีย์ ๘๔.๐๐๐ แต่ถูกพระยามารคุกคามทำลายพระเจดีย์เหล่านั้น พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงทรงขอร้องพระอุปโคต พระยานาค ให้ช่วยจับพระยามารด้วย พระอุปคุตจึงจัดการปราบพระยามาร เป็นผลสำเร็จ แต่นั้นมาราษฎรจึงทำพิธีลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระยานาคสืบมาทุกปี

ลอยกระทงจีนประเทศจีนทางตอนเหนือในหน้าน้ำ น้ำท่วมเสมอ บางปีไหลแรงท่วมท้นจนหนีไม่พ้น ทำให้มีคนจมน้ำตายนับจำนวนเป็นแสนๆ และที่หาศพไม่ได้ก็มาก ราษฎรจึงจัดกระทงใส่อาหารลอยน้ำไป เพื่อเซ่นไหว้ผีน้ำเหล่านั้น

ลอยกระทงเขมรลอยสองครั้ง คือตอนกลางเดือน ๑๑ กระทงนั้นเป็นขนาดเล็กและมีอาหารบรรจุไปด้วย ส่วนกลางเดือน ๑๒ ทำเป็นกระทงใหญ่ แต่มีอาหารบรรจุไปในกระทงด้วย เพื่อส่งส่วนบุญไปให้เปรต

ลอยกระทงอินเดียลอยกระทง เพื่อบูชาเทวดาที่ตนนับถือ ที่เทวดาได้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ตนและครอบครัว เป็นพิธีทำเป็นประเพณีสืบมาแต่โบราณ




วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กินยาพารามากเกินไประวังตับวาย

การใช้ยาพาราเซตามอลอย่างพร่ำเพรื่อและติดต่อกันนานเกินไป อาจก่อให้เกิดปัญหาภาวะเป็นพิษต่อตับได้นะคะ พี่เหมี่ยวเคยอ่านพบว่านะคะว่าในสหรัฐอเมริกาสาเหตุของอาการตับวายนั้นอันดับหนึ่งคือมาจากการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด รองลงมาก็มาจากสาเหตุของการดื่มแอกอฮอล์ หรือไวรัสตับอักเสบ

ในแต่ละปี สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยที่ได้รับรายงาน ความเป็นพิษจากยาพาราเซตามอลประมาณ 100,000ราย ถูกนำส่งห้องฉุกเฉิน

56,000ราย ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล26,000รายการใช้พาราเซตามอลเป็นประจำจะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งไตเพิ่มขึ้นเท่าตัวซึ่งโรคนี้คร่าชีวิตคนอเมริกัน12,000ราย ต่อปี อุบัติการณ์ในการเกิดมะเร็งไตในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง126%นับตั้งแต่ทศวรรษ1990เป็นต้นมา การก้าวกระโดดของการเกิดโรคนี้อาจจะเกี่ยวโยงกับการใช้ยาที่ผสมพาราเซตามอลเพิ่มขึ้น เนื่องจากอนุมูลอิสระจากtoxic metaboliteของพราราเซตามอลกระจายไปทั่วร่างกาย เพราะฉะนั้นก็สามาารถทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความแก่ชราอย่างอื่นได้อีก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองในสัตว์พบว่าพาราเซตามอลทำให้เกิดต้อกระจกในสัตว์ทดลองได้

สำหรับภาวะพิษจากพาราเซตามอลเกิดขึ้นได้จากเหตุโดยตั้งใจ คือการรับประทานยาเกินขนาดเพื่ออัตวินิบาตกรรม และโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

1.รับประทานยาชนิดอื่นที่มีส่วนผสมของราราเซตามอลโาดยไม่ทราบ แล้วรับประทานพาราเซตามอลเข้าไปอีก เนื่องจากปัจจุบันยาหลายชนิดมีส่วนผสมของพาราเซตามอล เช่น ยาบรรเทาหวัดลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อหลายชนิด

2.ปัจจัยเฉพาะบุคคลที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตับได้ง่าย เช่นในผู้ที่ดื่มสุรา ผู้ป่วยโรคตับภาวะขาดสารอาหารซึ่งส่งผลให้ระดับกลูต้าไธโอนลดลง ในกลุ่มนี้ก่อให้เกิดพิษจากพาราเซตามอลได้ง่าย แม้ว่าจะรับประทานในขนาดปกติก็ตาม


3.การใช้ยาร่วมกัน โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์ในระบบขับสารพิษชื่อCYP450 2E1ในตับเช่นยาphenytoin, carbamazepine, rifampinเป็นต้น

ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้พาราเซตามอล ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเรื้อรัง พิษสุรา ภาวะขาดสารอาหาร และในผู้ที่กำลังรับประทานยาที่กระตุ้นเหนี่ยวนำเอนไซม์ cytochrome P450 2E1 ...ห้ามทานพาราเซตามอลแล้วดื่มสุรา หากกำลังใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาบรรเทาหวัด ให้อ่านฉลากให้ดีว่ามีส่วนผสมของพาราเซตามอลหรือไม่ และไม่รับประทานซ้ำซ้อนข้าไปอีก


และที่สำคัญไม่ควรใช้ยานี้เกินวันละ2,600มิลลิกรัม(ประมาณ5เม็ด ในขนาด500 mg ,จำนวน8เม็ดในขนาด325มิลลิกรัม)ขนาดรับประทานคือ10มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม สูงสุดไม่เกินครั้งละ650มิลลิกรัม ส่วนการใช้ยาพาราเซตามอลกับเด็กเล็กๆ นั้นให้ดูฉลาก และคำนวณความต้องการให้ถูกต้องก่อนเสมอ เพราะยาน้ำนี้ในประเทศไทยมีหลายขนาด ปริมาณมิลลิกรัมต่อหนึ่งช้อนชาแตกต่างกันไป

อีกข้อห้ามที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือไม่ควรใช้ยาพาราเซตามอลติดต่อกันเกิน3วันเราสามารถใช้ยาทางเลือกแทนการใช้ยาพาราเซตามอลได้ เช่น ยาเขียวแก้ไข้ ยาจันทลีลา ยาฟ้าทะลายโจร ยาขมชนิดต่างๆ ล้วนมีฤทธิ์ลดไข้ได้เช่นกัน




สิ่งต้องห้ามสำหรับ Social Network

เตือนภัยเด็กดีวันนี้ขอโหนกระแสความฮอตของSocail Networkที่น้องๆกำลังใช้กันอยู่ในตอนนี้ ว่ากันด้วยเรื่องของความปลอดภัยเกี่ยวกับใช้งานของSocial Networkประเภทนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่น้องๆ อาจจะมองข้ามไป

และนี่คือส่วนหนึ่งของบทความเรียงจาก7 Things to Stop Doing Now on Facebook by Consumer Reports Magazine Wednesday, May 12, 2010เป็นคำกล่าวของCharles Pavelites,ผู้ชำนาญการพิเศษของหน่วยงานศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์จากอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต ได้กล่าวถึงรายละเอียดที่ผู้ใช้บริการไม่ควรเปิดเผยบนSocial Network โดยเฉพาะอย่างยิ่ง facebook ที่หลายๆ คนนิยมอยู่ในขณะนี้ว่า7สิ่งที่เราควรจะหยุดทำทันทีในFacebookคือ


1.ใช้รหัส ผ่านแบบง่าย ๆ …เราควรจะหลีกเลี่ยงการใช้ ชื่อธรรมดา หรือคำทั่วไปที่สามารถหาพบได้ในพจนานุกรม หรือแม้แต่ตัวเลขที่ลงท้ายรหัสผ่านดังกล่าว ควรใช้การผสมระหว่าง ด้านหน้า ด้านหลังตัวอักษร ด้วยตัวเลข หรือสัญลักษณ์ รหัสผ่านควรมีแปดตัวอักษรอย่างน้อย เทคนิคที่ดีอย่างหนึ่งคือ การเพิ่มตัวเลขหรือ สัญญลักษณ์ระหว่างกลางคำผ่าน วิธีนี้จะช่วยให้การเสิร์ชหาชื่อได้ยากขึ้น

2.ระบุวันเดือนปีเกิดในข้อมูลสาธารณะ …เพราะนั่นจะเป็นการเอื้อให้เกิดการโจรภัยทางข้อมูลแบบเบื้องต้น ผู้ไม่หวังดีมักจะใช้ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเรา เพราะมันจะมีประโยชน์อย่างมากในการเข้าถึงข้อมูลธนาคารหรือบัตรเครดิต ถ้าเราได้ระบุวันเกิด ให้กลับไปที่ข้อมูลส่วนตัว เข้าไปแก้ไขข้อมูลส่วนตัว ระบุข้อมูลพื้นฐานคือ ไม่แสดงวันเกิดในข้อมูลส่วนตัว หรือ แสดงเฉพาะวันและเดือนเกิดในหน้าข้อมูลส่วนตัว


3.ตรวจสอบการใช้งานของข้อมูลส่วนตัว …ข้อมูลทั้งหมดในFacebookของเรา ควรกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงของเพื่อน เช่น การเข้าชมรูปภาพ วันเกิด ศาสนา และข้อมูลของครอบครัว หรือสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา เช่น ข้อมูลในการติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ สถานที่อยู่ ควรจำกัดสิทธิ์เฉพาะบุคคลหรือกลุ่มที่สามารถจะเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว หรือจัดการบล็อกบุคคลที่เราไม่ต้องการให้เข้าถึงข้อมูล

4.ระบุชื่อพ่อแม่ ญาติพี่น้อง โดยมีข้อความที่อธิบายหรือตำบรรยายใต้ภาพประกอบ …เราไม่ควรทำเช่นนั้นเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถทราบถึงข้อมูลที่สามารถนำไปประกอบอาชญากรรมบางอย่างได้(เพราะรู้ว่าเป็นลูกหลานของใครมีฐานะการเงินเป็นเช่นไร)


5.การบอกว่า กำลังออกจากบ้าน …เป็นเหมือนการแจ้งให้ใครต่อใครรู้ว่าจะไม่มีใครอยู่ในบ้าน หรือเราไม่ได้อยู่ที่บ้านในตอนนั้น ซึ่งอาจจะเกิดผลร้ายได้ถ้าหากเรากำลังตกเป็นเป้าของอาชญากร ทางที่ดีให้รอจนกลับถึงบ้านแล้วค่อยบอกถึงกิจกรรมที่ไปทำมาก็ได้



6.การปล่อยให้Facebookค้นหา พบคุณ …เพื่อป้องกันคนแปลกหน้าเข้าถึงหน้าข้อมูลของเรา ให้ไปที่การค้นหาของFacebookข้อมูล ส่วนตัว และเลือกเฉพาะเพื่อนเท่านั้นของFacebookที่จะค้นพบข้อมูลดังกล่าว และให้มั่นใจว่ากล่องข้อมูลสาธารณะไม่ได้ระบุให้เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้

7.อย่าให้เด็กใช้Facebookโดยไม่ตรวจสอบ ควบคุม …แม้ว่าFacebookจะ ไม่อนุญาตให้เด็ก อายุต่ำกว่าสิบสามขวบหรือยังไม่ถึงเกณฑ์ใช้งาน แต่หลายคนก็ทำการปลอมอายุเข้าไปใช้ได้ ถ้าน้องๆมีเพื่อนหรือน้องๆ ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะและวิจารณญาณในการเล่นSocial Networkวิธีที่ดีที่สุดคือ เราควรจะเข้ารวมเป็นสมาชิกในกลุ่มเพี่อนของเขา หรือให้ใช้emailของเราแทนในการติดต่อระหว่าง บัญชีของเขา เพื่อที่เราจะได้รับข้อความหรือตรวจสอบการใช้งานของเขาได้

จำไว้นะคะว่า สิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายได้ เพราะเป็นเรื่องไกลตัว อาจจะนำมาซึ่งอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของเราก็ได้ค่ะ … เทคโนโลยีก็เหมือนดาบสองคม มีทั้งด้านบวกและด้านลบ เพราะฉะนั้นใช้วิจารณญาณในการใช้งานให้มาก เป็นทางที่ดีที่สุดค่ะ




วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Galaxy Tab เปลี่ยนชื่อเป็น Galaxy Pad


รายละเอียดของ Galaxy Pad

  • จอมัลติทัช TFT 7 นิ้ว ความละเอียด 1024x600 พิกเซล (เล็กกว่า iPad ที่มีหน้าจอ 9.7 นิ้ว 1024x768 พิกเซล)
  • ขนาดประมาณ 190x120x12 มิลลิเมตร หนัก 380 กรัม
  • โทรศัพท์ได้ด้วย! บนเครือข่าย GSM 850/900/1800/1900 พร้อมมี Speaker ในตัวและสามารถใช้หูฟัง Bluetooth ได้
  • หน่วยประมวลผล Cortex A8 1.0GHz, หน่วยประมวลผลกราฟฟิค PowerVR SGX540, RAM 512MB
  • มีให้เลือกทั้งความจุ 16GB และ 32GB ใส่ microSDHC เพิ่มได้อีก 32GB
  • กล้องทั้งด้านหน้า (1.3 ล้านพิกเซล) และด้านหลัง (3 ล้านพิกเซลพร้อมโฟกัสอัตโนมัติและแฟลช)
  • สนับสนุน 3G HSPA 900/1900/2100, WiFi 802.11 a/b/g/n, GPS, Bluetooth 3.0
  • มาพร้อม Android 2.2 และ Flash 10.1 ในเครื่องเลย
  • แบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh โฆษณาว่าเล่นหนังได้ต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง

ตัวเครื่องพร้อมจำหน่ายในยุโรปช่วงกลางเดือนนี้ เรื่องราคานั้นไม่ได้เปิดเผยแต่คาดว่าจะขึ้นอยู่กับเครือข่าย สำหรับตลาดอื่น (คาดว่ารวมทั้งไทยด้วย) อาจจะต้องรอกันไปก่อน


วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

iPad




iPad
หรือ ไอแพด คือคอมพิวเตอร์พกพาหน้าจอสัมผัสไร้คีย์บอร์ดล่าสุดที่ Apple ได้ทำการเปิดตัว สำหรับ ราคาของ iPad เริ่มที่ 499 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 17,000 บาท ส่วนกำหนดการการวางขาย iPad นอกประเทศอเมริกา คือเดือนมิถุนายน


Specification ของ iPad

  • หน้าจอสัมผัสขนาด 9.7 นิ้ว
  • ความหนาตัวเครื่อง 0.5 นิ้ว
  • หน่วยความจำภายในเครื่อง 3 ขนาดได้แก่ 16GB 32GB และ 64GB
  • ผู้ใช้สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายข้อมูลไร้สาย Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมแบบไร้สายด้วยเทคโนโลยี Bluetooth
  • การันตีแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง
  • แถมสามารถเปิดเครื่องพร้อมใช้งานได้นาน 1 เดือนโดยไม่ต้องชาร์จไฟ

ราคาของ iPad

  • สำหรับ iPad รุ่นที่เป็น Wi-Fi อย่างเดียวจะจำหน่ายในราคา 499, 599 และ 699 เหรียญตามขนาดความจุ
  • แต่หากเป็น ipad รุ่นที่รองรับ 3G ด้วย จะมีราคา 629, 729 และ 829 เหรียญตามขนาดหน่วยความจำ

Feature หรือลูกเล่นใน iPad

  • สามารถท่องเว็บบน iPad ด้วยเบราว์เซอร์ Safari
  • พิมพ์อีเมลด้วยโปรแกรมคีย์บอร์ดบนหน้าจอ
  • ชมอัลบั้มรูปภาพด้วยการใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอ
  • เข้าร้านจำหน่ายหนังสือออนไลน์ใหม่บนไอจูนส์ที่ใช้ชื่อร้านว่า ไอบุ๊กส์ (iBooks)
  • iPad มี Program ที่เอาไว้อ่านหนังสือคล้ายๆ kindle ของ Amazon ที่ให้ความรู้สึกเหมือนการอ่านจากหน้ากระดาษ
  • เอา iPad มา sync กับ OS ของ Apple และวินโดวส์ (Windows) ของไมโครซอฟท์ได้ โดย ipad จะมาพร้อมซอฟต์แวร์ปฏิทินงาน แผนที่ และไอจูนส์เพื่อให้ iPad เป็นเครื่องเล่นเพลงเหมือนไอพ็อต

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ดอกไฮเดรนเยีย














ต่างประเทศมักรู้จักไฮเดรนเยียในชื่อของ ฮอร์เดนเชีย (Hortensia) ซึ่งเป็นพืชสกุลหนึ่งในวงศ์ Hydrangeaceae

ซึ่งประกอบไปด้วยพืชสกุลต่าง ๆ ถึง 80 สกุล ส่วนใหญ่พบใน จีน ญี่ปุ่น ทวีปอเมริกาพบตั้งแต่เม็กซิโกไปจนถึงอเมริกาใต

แต่บางสกุลอาจพบในออสเตรเลียนิวซีแลนด์(9สกุล)แอฟริกา(6สกุล)ยุโรปพบเพียงสกุลเดียว ไฮเดรนเยียมีจำนวนชนิดถึง80ชนิด

ต่ส่วนใหญ่ที่มนุษย์นำมาพัฒนาพันธุ์โดยสร้างลูกผสมออกมาหลายร้อยพันธุ์นั้นมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Hydrangea macrophylla


ชนิดและแหล่งกำเนิดไฮเดรนเยียที่น่าสนใจ (บางชนิด)

- ประเทศจีน (ภาคตะวันตกเฉียงใต้และเทือกเขาหิมาลัยใกล้ทิเบต)

Hydrangea anomala (เลื้อย), H. aspera, H. Bretschneideri, H. chungii, H. coacta, H. coenobralis, H. davidii, H. dumicola, H. gracilis, H. heteromalla, H. longipes, H. macrocarpa

- ประเทศญี่ปุ่น

Hydrangea hirta, H. involucrate, H. macrophylla, H. paniculata, H. scandens

- ประเทศอาเจนตินา (ภาคใต้)

Hydrangea serratifolia

- ไต้หวัน

Hydrangea kawakamii, H. involucrate

- ฟิลิปปินส์

Hydrangea scandens

ประวัติการนำเข้าสู่ประเทศไทย

คนไทยรู้จักไฮเดรนเยียมานานแล้วไม่แน่ว่าผู้ใดสั่งพันธุ์ไม้ชนิดนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยแต่สมัยใด

แต่พอจะอนุมานได้ว่าเข้ามาสู่ประเทศไทยในสมัยของสมเด็จพระปิยะมหาราชเนื่องจากพระองค์ทรงเสด็จประพาสสิงคโปร์และเกาะ

ชวาอินโดนีเซียรวมทั้งหลายประเทศในยุโรปซึ่งการเสด็จประพาสต่างประเทศเหล่านั้น พระองค์ได้ทรงนำพืชพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ

หลายชนิดเข้ามาปลูกในพระราชวังสวนดุสิตซึ่งไฮเดรนเยียก็น่าจะเข้ามาสู่ประเทศไทยสมัยนั้นเช่นกันแม้จะไม่ปรากฏหลักฐาน

ว่าบุคคลใดเป็นผู้นำเข้าคนแรกก็ตาม

พฤกษศาสตร์

ไฮเดรนเยีย(Hydrangea)เป็นไม้พุ่งสูง1-3เมตรจัดเป็นพืชหลายฤดูชอบอากาศหนาวเย็น บางชนิดเป็นไม้ยืนต้น

หรือไม้เลื้อยแต่ส่วนใหญ่มักเป็นไม้พุ่มเตี้ยใบเกิดแบบตรงข้ามแผ่นใบมีขนาดกว้างใหญ่ขอบใบจักช่อดอกเกิดส่วนปลายกิ่งหรือยอด

ลำต้นดอกประกอบด้วยใบประดับที่มีสีสวยงามแล้วแต่พันธุ์ ไฮเดรนเยียอาจผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้แต่ถ้าเป็นชนิด

ที่อยู่ในเขตอบอุ่นจะผลัดใบพักตัวในฤดูหนาวดอกของไฮเดรนเยียเกิดที่ปลายยอดกิ่งหรือยอดลำต้น เป็นช่อดอกแบบช่อเชิง

หลั่นหรือช่อแยกแขนง(corymbsorpanicles) ช่อดอกประกอบด้วยดอกสองแบบคือกลุ่มดอกสมบูรณ์เพศซึ่งมีขนาดเล็ก

ที่อยู่บริเวณใจกลางช่อดอกใหญ่ ส่วนกลุ่มดอกที่มีขนาดดอกย่อยใหญ่สะดุดตานั้นความจริงเป็นดอกที่เกิดจากกลีบดอก

ประดับดูสะดุดตา เกิดเป็นวงรอบขอบนอกของช่อดอกใหญ่ไฮเดรนเยียบางชนิดมีช่อดอกซึ่งประกอบด้วยดอกย่อยสมบูรณ์เพศ

ทั้งช่อเลยก็มี ดอกไฮเดรนเยียส่วนใหญ่จะมีสีขาวเป็นหลัก แต่บางชนิด เช่น H. macrophylla อาจเป็นสีน้ำเงิน แดง

ชมพูหรือม่วง ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความเป็นกรดหรือด่างของเครื่องปลูก หากเครื่องปลูกมีสภาพเป็นกรด pH 5.0-5.5สีดอกจะออก

เป็นสีน้ำเงิน ถ้าสภาพเป็นด่างจะให้ดอกสีม่วงหรือชมพูถ้าปลูกในเครื่องปลูกที่สภาพเป็นกลางดอกไฮเดรนเยียจะมีสีครีมซีด

ทั้งนี้เพราะไฮเดรนเยียเป็นหนึ่งในบรรดาพืชไม่กี่ชนิดที่สะสมธาตุอะลูมินัม ธาตุนี้จะถูกปลดปล่อยออกมาจากเครื่องปลูก

ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ธาตุนี้จะทำปฏิกิริยากับสารละลายในกลีบดอกทำให้เกิดสีน้ำเงินขึ้นได้ ปกติไฮเดรนเยียต้องการดินที่เป็นกรดอ่อน

pH 6.0-6.5 จะเติบโตได้ดี

การปลูกเลี้ยงเป็นการค้า

ไฮเดรนเยียจัดเป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่งของยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยปลูกได้ดีเฉพาะในเขต

ที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น ความชื้นในอากาศสูง เช่น จ. เชียงราย จ. เชียงใหม่ (พื้นที่สูง 1,000 เมตรขึ้นไปจะให้ผลดีเป็นพิเศษ)

ภูเรือ เขาค้อ เป็นต้น ในประเทศฟิลิปปินส์ นิยมปลูกเป็นการค้า ในบริเวณพื้นที่ระดับสูงตั้งแต่ 1,800 เมตร เช่น ยอดเขา

ที่บาเกียว ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นและชื้นจัด โดยปลูกเป็นไม้กระถางจำหน่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ไฮเดรนเยียที่ปลูกเป็นการค้าคือ

H. macrophylla ซึ่งมีกว่า 600 พันธุ์ ส่วนใหญ่พันธุ์ปลูกเหล่านี้เกิดและมีขนาดใหญ่มากขยายปลูกโดยการปักชำกิ่ง

การส่งเสริมปลูกไฮเดรนเยียเพื่อผลิตเป็นดอกไม้แห้ง มูลนิธิโครงการหลวง เริ่มต้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2536ศูนย์พัฒนา

โครงการหลวงขุนแปะ อ. จอมทอง จ. เชียงใหม่ ได้เริ่มนำพันธุ์ดอกไม้แห้งต่าง ๆมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อเป็นอาชีพ

เสริมรายได้โดยมีผู้เขียน(รศ.ม.ล. จารุพันธ์ ทองแถม จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นหัวหน้าโครงการผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้ง)

ได้มีการนำดอกไม้แห้งหลายชนิดมาทำการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ

โดย นายพิษณุพันธ์ สินชัย เจ้าหน้าที่ฝ่ายไม้ดอกไม้ประดับได้นำเอาไฮเดรนเยียซึ่งมีปลูกประดับในสถานีมาทำการขยาย

พันธุ์ได้จำนวน 800 ต้นเป็นสายพันธุ์พื้นเมืองทำการเพาะเลี้ยงในถุงดำประมาณ 1 ปี จึงได้นำไปส่งเสริมแก่เกษตรกรกะเหรี่ยง

และชาวเมืองเชียงใหม่ไฮเดรนเยียเป็นไม้ดอกที่มีอายุยืนยาวนานหลายปีหรือที่เรียกว่าเป็นพืชถาวร ในสภาพที่มีอากาศหนาวเย็นสูง

จากระดับน้ำทะเล1,000 เมตรขึ้นไปพบว่าไฮเดรนเยียสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน-ฤดูหนาว

คุณภาพดอกจะสวยงามมากแต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการจัดการที่ดีด้วย

พันธุ์ของไฮเดรนเยียในประเทศไทยมีอยู่หลายพันธุ์ ได้แก่

1. พันธุ์พื้นเมือง พันธุ์เก่าแก่ที่นำเข้ามานาน จนปรับตัวให้เข้ากับอากาศร้อนได้ดี

2. Botstein พันธุ์ใหม่ นำเข้าโดยโครงการหลวง

3. Sister Therse

4. Oregon Pride

ไม่นานมานี้นักพืชสวนในอังกฤษประสบผลสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ไฮเดรนเยียได้พันธุ์ใหม่ชื่อ‘Endless Summer’

ลูกผสมซึ่งคัดพันธุ์ได้นี้น่าจะเป็นพันธุ์แรกที่ให้ช่อแบบทรงกลม(mophead) ที่สามารถสร้างตาดอกขึ้นบนกิ่งที่มีอายุปีแรก

เท่านั้นและจะสร้างดอกขึ้นได้เลยภายในปีแรกทำให้ผู้ปลูกได้ชื่นชมกับดอกที่จะออกอย่างรวดเร็วผิดกับพันธุ์เก่าทั้งหลาย

ปัจจุบันมีเนอร์สเซอรี่ในสหรัฐอเมริกานำไปพัฒนาต่อโดยผลิตเป็นการค้าซึ่งไฮเดรนเยียพันธุ์ใหม่นี้หลังจากออกดอกไปแล้ว

และตัดแต่งกิ่งเก่าออก ก็จะแตกหน่อใหม่และออกดอกได้เลยในฤดูถัดไป ข้อดีอีกประการคือ ทนต่ออากาศหนาวเย็น ดอกของ

H. macrophylla ‘Endless Summer’ นี้มีสีชมพูหรือสีน้ำเงิน (ขึ้นอยู่กับระดับความเป็นกรดหรือด่างของเครื่องปลูก)

ใบของมันมีสีเขียวเข้ม และทนต่อโรคราน้ำค้าง (mildew resistant) อย่างไรก็ตามไฮเดรนเยียชอบแสงแดดที่ได้รับการ

พรางแสงเพียง 30% เท่านั้น ถ้าพลางแสงให้มากกว่านี้จะมีผลผลิตต่ำลง

พันธุ์ที่ทางศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะทำการส่งเสริมปลูกทั้งหมดเป็นพันธุ์เก่าแก่ซึ่งนิยมเรียกกันว่า

พันธุ์พื้นเมือง ซึ่งจากการที่ได้เปรียบเทียบคุณภาพผลผลิต การเจริญเติบโต ความต้านทานโรค

และจำนวนการผลิต พบว่าพันธุ์พื้นเมืองเหมาะสมที่จะทำการปลูกเพื่อผลิตเป็นดอกไม้แห้งได้ดีมาก

ต้นทุนการผลิตน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ ไฮเดรนเยียพันธุ์นี้พบทั่วไปตามวัดวาอารามและสวนสาธารณะ

ทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ยังพบมากที่หลายหมู่บ้านในเขตปิล๊อก อ. ทองผาภูมิ, สังขละบุรี

ชายแดนไทย-พม่าไฮเดรนเยียเป็นพืชที่ต้องการดินร่วนซุยมีอินทรียวัตถุสูงเพื่อเก็บน้ำและรักษาความร่วนโปร่งของดิน

ควรใช้ปุ๋ยหมักและใบไม้ผุใส่เพิ่มในหลุมปลูกไฮเดรนเยียต้องการดินที่เป็นกรดอ่อน pH 6.0-6.5 เพื่อให้ได้ดอกสีชมพู

แต่ถ้าปรับ pH ให้เป็นกรด pH 5.0.5.5 จะได้ดอกสีน้ำเงิน

การขยายพันธุ์

ไฮเดรนเยียขยายพันธุ์ได้โดยตัดชำกิ่งอ่อนในช่วงฤดูฝนหรืออาจใช้กิ่งกลางอ่อนกลางแก่ก็ได้ในช่วงฤดูร้อน

สำหรับในต่างประเทศไฮเดรนเยียมีการพักตัวในฤดูหนาวเขาใช้วิธีตัดกิ่งแก่จากต้นที่พักตังทิ้งใบหมด

นอกจากนี้เขายังขุดเอากอขึ้นมาตัดหน่อหรือกิ่งที่อยู่ใต้ดิน (suckers) ออกมาปักชำเป็นต้นใหม่ หรือทำการตอนกิ่ง

(layering)เพื่อให้ออกรากจากนั้นจึงขุดแยกไปปลูกต่อไปสำหรับการขยายพันธุ์ในประเทศไทย

โครงการหลวงได้ทำการขยายพันธุ์โดยวิธีการปักชำกิ่งช่วงที่เหมาะสมสำหรับการขยายพันธุ์คือช่วงฤดูฝนเพราะสภาพอากาศชื้น

และเป็นช่วงที่ต้นพันธุ์แตกหน่อกิ่งก้านมากทำให้มีกิ่งพันธุ์จำนวนมาก

การเพาะชำอาจปักชำในกระบะชำที่มีทรายหยาบและแกลบดำเป็นวัสดุปักชำและใช้ฮอร์โมนเร่งราก

ช่วยให้มีจำนวนและความยาวรากเพิ่มขึ้นจากนั้นจึงย้ายกิ่งลงถุงพลาสติกดำ

การปลูก

เมื่อทำการเพาะชำจนได้ต้นที่สมบูรณ์แล้วต้องคำนึงระยะเวลาเหมาะสมและเป็นพื้นที่รับน้ำได้ตลอดปี การวางแนวปลูกระยะการปลูก

ควรอยู่ 1x1 เมตีร การเตรียมหลุมปลูกขุดหลุมกว้าง 50x50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร

การเตรียมวัสดุปลูก

หลุมปลูกไฮเดรนเยียควรมีความกว้างยาวและลึกอย่างต่ำ 40 เซนติเมตร ควรมีปูนขาวโรยรองก้นหลุมประมาณ 100 กรัมต่อหลุม

หินฟอสเฟต (0-3-0) 100 กรัมต่อหลุม ปุ๋ยคอก (ควรผ่านการหมักแล้ว) 4 กิโลกรัมต่อหลุม เปลือกข้าว

1 กิโลกรัมต่อหลุม ผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน ขุดหลุมและรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กรัมต่อหลุม

การดูแลรักษา
ไฮเดรนเยียที่ปลูกเพื่อตัดดอกแปรรูปเป็นดอกไม้แห้ง ต้องอาศัยระยะเวลาในการดูแลรักษาพอสมควร หลังจากการปลูก

ไปแล้วประมาณ 5-6 เดือน จึงจะตัดดอกที่สามารถนำไปทำดอกไม้แห้งได้ ช่วงเวลาดังกล่าวควรมีการจัดการดูแลต้น

ที่ดีเลือกกิ่งสมบูรณ์ไว้ กิ่งชำเดิมควรตัดทิ้ง เมื่อมีกิ่งใหม่มาทดแทน หลังจากอายุไฮเดรนเยีย 1 ปีขึ้นไป

จะแตกกิ่งต้นจำนวนมาก ต้องทำการตัดแต่งกิ่งออกคงเหลือไว้ประมาณ 10-12 กิ่งต่อกอ ควรตัดแต่งกอ

อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ช่วงฤดูร้อนควรมีการพรางแสงด้วยตาข่ายพลาสติกดำหรือซาแลนโดยพรางแสง 50%

เพื่อลดอาการไหม้ที่ใบและดอก เนื่องจากความเข้มแสงในช่วงต้นฤดูหนาวและช่วงฤดูร้อนมีมาก

การให้ปุ๋ย

หลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 1 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมียูเรียสูตร 46-0-0 รอบโคนต้น 50 กรัมต่อต้น หรือปุ๋ยสูตร 15-0-0 อัตรา

15 กรัมต่อน้ำ 5 ลิตร รดต้น สัปดาห์ละครั้ง กำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ย ช่วงแตกกอ, ใบใหม่ ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา

50 กรัมต่อต้น สลับกับปุ๋ยทางใบ สัปดาห์ละครั้ง ช่วงใบแก่และออกดอก ใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 50 กรัมต่อต้น

สลับกับปุ๋ยทางใบสูตร 0-0-46 อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ20ลิตรพ่นสัปดาห์ละครั้งเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของช่อดอก

และกลีบดอก และไม่ควรให้ปุ๋ยทางใบเมื่อออกดอกแล้วเพราะอาจทำให้เกิดการไหม้ที่ดอก

การคัดเกรด, ราคา จะคัดตามความสมบูรณ์ของดอก, ขนาดของดอกโดยแบ่งตามเกรดได้ดังนี้

เกรด 1 เส้นผ่าศูนย์กลางของช่อดอก 30 เซนติเมตร

เกรด 2 เส้นผ่าศูนย์กลางของช่อดอก 20-30 เซนติเมตร

เกรด 3 เส้นผ่าศูนย์กลางของช่อดอก 15-20 เซนติเมตร

เกรด 4 เส้นผ่าศูนย์กลางของช่อดอก 10-15 เซนติเมตร

สรุปการปลูกไฮเดรนเยียเพื่อผลิตเป็นดอกไม้แห้ง

1. ต้องเลือกพื้นที่อากาศหนาวเย็น ความชื้นสูง ดินดีร่วนซุย หน้าดินลึก

2. การปลูกไฮเดรนเยียจะใช้ระยะเวลานานพอสมควรจึงจะให้ผลผลิต(ประมาณ6-12เดือน)

และใช้ต้นทุนบ้างตามสมควรในระยะแรกเริ่ม

3. ปริมาณผลผลิตไฮเดรนเยียขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา โดยเฉพาะในเรื่องของน้ำและปุ๋ย

4. ปัญหาเรื่องโรคและแมลงมีน้อยถ้ามีการจัดการที่ดี

5.ไฮเดรนเยียเป็นพืชอายุยาวนานหลายปีสามารถปลูกเป็นพืชแซมในแปลงไม้ผลของเกษตรกร

ทำให้เกษตรกรมีเวลาดูแลพืชอื่น ๆ ควบคู่กันไปและมีรายได้เสริมตลอดปี

6. ไฮเดรนเยียนอกจากจะเป็นพืชเสริมรายได้ให้กับเกษตรกรแล้วยังช่วยทำให้สถานที่เกิดความสวยงามและร่มรื่น

แก่ผู้ที่ได้มาพบเห็น

7. ไฮเดรนเยียสามารถนำไปแปรรูปได้ ทางโครงการดอกไม้แห้งให้ราคาตามขนาดและคุณภาพ

ไม่จำกัดปริมาณ จึงเหาะที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก

การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ดอกไฮเดรนเยีย

แม้การปลูกไฮเดรนเยียเป็นไม้ตัดดอกสดจะทำรายได้ตอบแทนแก่เกษตรกรได้ดี โดยทำราคาต่อดอกได้สูงและใช้เวลาการปลูก

ถึงตัดดอกในระยะเวลาอันสั้นกว่าก็จริงแต่การตลาดยังนับว่าแคบ และคุณภาพดอกมักเสียหายเร็ว ดังนั้นจึงพบว่ามีดอกที่เริ่มเหี่ยว

หมดสภาพการส่งตลาดจำนวนมาก ส่วนการจำหน่ายเป็นไม้กระถางนั้น ยิ่งพบปัญหาเรื่องของการจำหน่ายหนักขึ้นไปอีก

โครงการผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้ง ทดลองแปรรูปดอกไฮเดรนเยีย ตั้งแต่ พ.ศ. 2534โดยในระยะแรกได้ทดลองปลูก

ที่ดอนอินทนนท์และดอยปุย จ. เชียงใหม่ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าดอกย่อยของไฮเดรนเยียมีเยื่อใยสูงแม้จะแห้งสนิทแล้ว

ก็สามารถแปรรูปโดยการฟอก ย้อม ผ่านความร้อนได้ โดยไม่ทำให้เสียรูปแต่ทั้งนี้จำต้องให้เวลากับช่อดอกไฮเดรนเยีย

ได้พัฒนาต่อโดยกลีบดอกจะเปลี่ยนสีจากชมพู ม่วงอ่อน หรือน้ำเงินเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวอ่อนและเริ่มสีซีดจางลง ระยะนี้กลีบดอกจะ

มีความหนาสูงสุด ให้ทำการตัดช่อดอกออกจากแปลงรวบรวมบรรจุกล่องส่งโรงงาน แขวนผึ่งลมให้แห้งก่อนส่งโรงงานที่กรุงเทพฯ

เพื่อทำการแปรรูปต่อไป

การแปรรูปดอกไฮเดรนเยียในโครงการหลวงสมัยปัจจุบัน ทำโดยการฟอก ย้อมและรักษาความนุ่มนวลของกลีบดอกให้คง

สภาพคล้ายดอกสด นอจากนี้ยังทำการหมักด้วยกลิ่น มิโมซา (Mimosa)และกลิ่นของดอกกล้วยไม้บางชนิดเข้าไป

เพื่อเพิ่มมูลค่าของดอกไฮเดรนเยียให้เป็นที่ชื่นชอบแก่ผู้ซื้อ

ที่สำคัญคือเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่า (valueadded) แก่ดอกไฮเดรนเยียที่ปลูกในประเทศไทยอีกด้วย

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

วันสันติภาพสากล (The International Day of Peace)





วันที่ 21 กันยายน ของทุกปีเป็นวันสันติภาพสากล วันนี้จัดขึ้นเพื่อประกาศการเริ่มต้นของวันสันติภาพสากล ระฆังสันติภาพ ณ สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ จะดังขึ้น ซึ่งระฆังดังกล่าวถูกหลอมขึ้นจากเหรียญที่เด็กทั่วโลกช่วยกันบริจาค ระฆังใบนี้ถือเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงความสูญเสียจากสงคราม โดยมีการสลักประโยคหนึ่งประโยคไว้ข้างระฆังว่า Long live absolute world peace. ขอความยั่งยืนจงมีแด่สันติภาพอันแท้จริง

ปี 1981 คณะกรรมการสหประชาชาติประกาศมติที่รับรองโดยคอสตารีกา ให้วันอังคารที่สามของเดือนกันยายน (ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสามัญ) เป็นวันสันติภาพสากล เพื่อให้ความสำคัญกับสันติภาพ 20 ปีให้หลัง ที่ประชุมใหญ่มีมติใหม่ที่ได้รับการรับรองจากสหราชอาณาจักร และคอสตารีกา ให้กำหนดวันที่แน่นอนและประกาศเป็นวันยุติการสู้รบของโลก (a global ceasefire day) คือ วันที่ 21 กันยายนเป็น องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันนี้เป็น "วันสันติภาพสากล" (The International Day of Peace) เพื่อขอให้ประชาชนทุกประเทศหยุดยิง หยุดใช้ความรุนแรงกันทั่วโลก และหยุดการทำสงครามตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังได้เชิญประเทศสมาชิก หน่วยงานสหประชาชาติ ชุมชน และองค์กรอิสระ ให้เฉลิมฉลองและร่วมมือกันสร้างสันติภาพทั่วโลก

องค์การสหประชาชาตินกอจากได้กำหนดให้วันที่ 21 กันยายนของทุกปี เป็น "วันสันติภาพโลก" (International Day of Peace) แล้ว ยังกำหนดให้ปี ค.ศ.2001-2010 เป็น "ทศวรรษสากลเพื่อวัฒนธรรมสันติภาพและความไม่รุนแรงเพื่อเด็กของโลก" (The International Decade 2001-2010 for a Culture of Peace and Non-violence for the Children of the World) โดยมุ่งเน้นที่

1. การให้ความเคารพต่อชีวิตทั้งมวล เคารพชีวิตและศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคล โดยไม่แบ่งชนชั้นหรือลำเอียง
2. การไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะต่อเด็กและเยาวชน
3. การแบ่งปันกับผู้อื่นอย่างมีน้ำใจ เพื่อขจัดการแบ่งแยก ความไม่ยุติธรรม และการกดขี่ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
4. การรับฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน เคารพเสรีภาพในการแสดงออก และยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม
5. การสงวนรักษาผืนโลก ฝึกดำเนินชีวิตอย่างรับผิดชอบและเคารพต่อทุกชีวิตในโลก เพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติบนผืนโลก
6. การสร้างความสมานฉันท์ เคารพต่อหลักการประชาธิปไตย และให้โอกาสทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะสตรี

การส่งเสริมให้ผู้คนในสังคมทุกกลุ่มอายุ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสันติภาพภายใน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของวัฒนธรรมสันติภาพ โดยเริ่มต้นจากประสบการณ์ของความสงบเงียบภายในจิตใจของแต่ละบุคคล จะนำไปสู่การตระหนักรู้จักตนเองและแหล่งพลังชีวิต สามารถใช้ปัญญาเป็นเครื่องชี้นำทางในการขจัดทุกข์และสร้างสันติสุขให้แก่ตน เอง และแบ่งปันประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้อื่น

วิธีการหนึ่งในการกระตุ้นให้ผู้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของการหยุดอยู่ในความ สงบ คือเน้นความสำคัญของการใช้เวลา "เพียงหนึ่งนาที" ด้วยบทเพลง "เพียงหนึ่งนาที" ซึ่งสร้างสรรค์โดยทีมของบริษัทแกรมมี่ฯ เพื่อเป็นสื่อหนึ่งของโครงการ "คุณธรรมหนุนนำสันติสุข" ของมูลนิธิบราห์มากุมารีราชาโยคะ มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก เป็น traffic control ควบคุมการจราจรของจิต และหันเหความคิดไปสู่ทิศทางที่เป็นบวก เป็นสื่อเตือนตนให้มีเวลาหยุดสงบนิ่ง เพียงชั่วขณะในแต่ละวัน ได้เรียนรู้ความสงบเงียบภายในของตน และเสริมพลังชีวิต เพื่อเป็นพื้นฐานต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ

ประเทศไทย ที่ อ.แม่สอด จังหวัดตาก มีกิจกรรมเดินขบวนเพื่อสันติภาพ (Peacemarch) เพื่อสวดมนต์ขอพรให้เกิดสันติภาพในพม่า ในไทย และโลก รวมทั้งเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์การชุมนุมอย่างสันติของพระภิกษุเมื่อเดือน กันยายนปี 2007 ในพม่า การเดินขบวนครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลกเนื่องจากจะมีการจัดกิจกรรม ดังกล่าวในประเทศต่างๆ ในเวลาเดียวกัน

รูปแบบของการเดินขบวนใช้ลูกโป่งรูปนกพิราบสีขาวขนาดใหญ่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ แทนสันติภาพ พระภิกษุจะใช้กระดิ่งเป็นตัวบอกสัญญาณควบคุมการเดินขบวน พร้อมกล่าวและชูป้ายที่เขียน(ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย) ว่า''May all beings not fight each other'' (ขอให้สรรพชีวิตทั้งหลายจงหยุดต่อสู้ซึ่งกันและกัน) และ''May all beings be happy and peaceful'' (ขอให้สรรพชีวิตทั้งหลายจงมีแต่สันติสุขและสันติภาพ)

นอกจากนี้ ยังจะใช้ป้ายที่เขียนว่า ''สันติภาพ''

  • ''Peace for the World and Burma'' (สันติภาพแด่โลกและพม่า)
  • ''Peace in Burma Means No Civil War'' (สันติภาพในพม่าคือการปราศจากซึ่งสงครามกลางเมือง)
  • 'No Nuclear Enrichment in Burma'' (ห้ามการเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ในพม่า)

งานวันสันติภาพสากลในติมอร์-เลสเต

ในปี 2008 สำนักงานสหประชาชาติ (UNMIT) ในติมอร์ฯ ได้ตั้งคำขวัญสำหรับวันสันติภาพสากลในติมอร์-เลสเตว่า “คุณทำอะไรเพื่อสันติภาพหรือเปล่า” (What are you doing for peace?) ในปีนี้รัฐบาลติมอร์ฯร่วมกับสหประชาชาติได้จัดงานฉลองวันสันติภาพสากลที่ บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล การฉลองวันสันติภาพเริ่มขึ้นด้วยพิธีมิซซาเพื่อสันติภาพและความยุติธรรมที่ วิหารอิเกรจา และต่อมาในเวลา 16.30-17.30 น.มีการชุมนุมเพื่อสะท้อนความต้องการสันติภาพที่ลานประชาธิปไตย จากลานประชาธิปไตยมีการ “เดินเพื่อสันติภาพ” ไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยออกเดินทางตั้งแต่เวลา17.30 -18.00 น.และที่ทำเนียบรัฐบาลนี้ นายซานานา กุสเมา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์แสดงความยินดีที่การเดินเพื่อสันติภาพในปีนี้ มีเยาวชนจากสำนักวิชาป้องกันตัวต่างๆได้มาเข้าร่วมด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและทัศนคติสร้างสรรค์ของสำนักวิชาป้องกัน ตัวต่างๆ และภายหลังจากสุนทรพจน์ดังกล่าวบิฉอบได้กล่าวให้พรและปล่อยนกพิราบ รวมทั้งมีการแจกดอกไม้แก่ผู้มาร่วมพิธี นายอาตุล คาห์เรผู้แทนพิเศษเลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวสุนทรพจน์เป็นรายต่อมาโดย เน้นย้ำว่าการที่จะมีสันติภาพได้นั้นจะต้องมีการเคารพสิทธิมนุษยชนด้วย เพราะไม่มีที่แห่งใดซึ่งไม่ให้การพิทักษ์ปกป้องสิทธิมนุษยชนจะสามารถมี สันติภาพเกิดขึ้นได้ และหลังจากนั้นเป็นการกล่าวปราศรัยของนายเฟอร์นันโด ลาซามา เด อะเราโจ ประธานรัฐสภาแห่งชาติ หลังจากสิ้นสุดงานพิธีได้มีการแสดงบันเทิงและดนตรีของคณะนายทหารและตำรวจและ ดนตรีของเยาวชนสองวงคือวงลิซาน ติมอร์ และวงโทนี่ เปเรร่าจนกระทั่ง 23.05 น. จึงเลิกงาน งานวันสันติภาพสากลเป็นงานที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญและจัดขึ้นใน ติมอร์-เลสเตเป็นประจำทุกปี เพื่อปลุกสำนึกในการรักสันติภาพและความยุติธรรมในบ้านเมือง

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตะไคร้...ทำไมใครๆ ก็ว่ามีประโยชน์?


ตะไคร้ เป็นวัตถุดิบที่สำคัญมากในการปรุงอาหารในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเช่นประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม เป็นต้น สมุนไพรที่ดีๆ แบบนี้ โตง่ายมากๆ ในแถบประเทศเขตร้อน

ตะไคร้ยังเป็นพืชที่มีสาร ประกอบที่มีกลิ่นหอมมาก มีกลิ่นหอมของมะนาวกับกลิ่นขิงนิดๆ ที่จะทำให้อาหารจานเด็ดน่ารับประทานขึ้นมา และกลิ่นหอมนี้จะตราตรึงในใจ แม้ว่าจะทานอาหารไปแล้วหลายชั่วโมงก็ตาม

ตะไคร้ยังมีสรรพคุณอีกมากมาย มันสามารถช่วยทำความสะอาดและขจัดสารพิษออกจากอวัยวะต่างๆ ในระบบย่อยอาหาร และทำให้กรดยูริค โคเลสเตอรอล ไขมันส่วนเกิน และสารพิษอื่นๆ ในร่างกายลดลงด้วย ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย

คุณค่าทางอาหาร : มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับอาหาร


คุณค่าทางยา : แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิตสูง



วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันแม่แห่งชาติ

ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี

วันแม่แห่งชาติ หรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคือ วันที่ 12 สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่ของชาติด้วย

แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวันแม่ของชาติ
ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้ถือว่า "ดอกมะลิ" สีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่เรา

กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันแม่แห่งชาติ

  1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
  2. จัดกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ
  3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
  4. นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่

วันแม่ในประเทศต่าง ๆ

  • อาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ นอร์เวย์
  • 8 มีนาคม บัลแกเรีย, แอลเบเนีย
  • อาทิตย์ที่สี่ในฤดูถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเ ดย์) สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์
  • 21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) จอร์แดน, ซีเรีย, เลบานอน, อียิปต์
  • อาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม โปรตุเกส, ลิทัวเนีย, สเปน, แอฟริกาใต้, ฮังการี
  • 8 พฤษภาคม เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
  • 10 พฤษภาคม กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้, บาห์เรน, ปากีสถาน, มาเลเซีย, เม็กซิโก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, โอมาน
  • อาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง
  • 26 พฤษภาคม โปแลนด์
  • 27 พฤษภาคม โบลิเวีย
    อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน, สวีเดน
    อาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายนหรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ฝรั่งเศส
  • 12 สิงหาคม ไทย (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)
  • 15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) คอสตาริกา, แอนท์เวิร์ป (เบลเยียม)
    อาทิตย์ที่สองหรือสามของเดือนตุลาคม อาร์เจนตินา (Día de la Madre)
  • 28 พฤศจิกายน รัสเซีย
  • 8 ธันวาคม ปานามา
  • 22 ธันวาคม อินโดนีเซีย


ผู้ติดตาม